วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

กินผักดิบมากไปอาจเป็นโทษ



กินผักดิบมากไปอาจเป็นโทษ




พูดถึงอาหารสุขภาพ แน่นอนว่าจะต้องมีอาหารจำพวกผักอยู่ในนั้นด้วย อย่างที่เรารู้กันดีอยู่แล้วว่า “ผัก” นั้นมีประโยชน์มากมาย แต่หากว่าเรากินผักไม่ถูกวิธี ผักที่ว่าเป็นประโยชน์นั้นก็อาจจะกลายเป็นโทษไปก็ได้
       
       “108 เคล็ดกิน” จึงมีข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับการกินผักดิบๆ มาฝากกัน จะมีอะไรบ้างนั้นลองไปดูกันเลย
       
       “ถั่วงอก” เรากินกันทั้งแบบสุกและดิบ ใส่ในก๋วยเตี๋ยว ผัดไทย หรือจะนำไปผัดผัก กินแกล้มกับขนมจีนน้ำยา ฯลฯ ซึ่งในถั่วงอกนั้นมีทั้งโปรตีน วิตามินซี วิตามินบี 12 ธาตุเหล็ก และเลซิธิน ทั้งหมดนี้เป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่หากว่าจะเลือกกินถั่วงอกดิบก็ควรจะกินในปริมาณที่พอเหมาะเท่านั้น เพราะในถั่วงอกดิบมีสารไฟเตด ที่จะส่งผลในการขัดขวางการดูดซึมสารบางชนิดเข้าสู่ร่างกาย
       
       “ถั่วฝักยาว” มีเส้นใยอาหารสูง มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี โปรตีน และมีธาตุเหล็ก แต่ถ้ากินถั่วฝักยาวดิบ ก็ไม่ควรกินเยอะเกินไป เพราะในถั่วฝักยาวดิบจะมีแก็สสูง โดยเฉพาะแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ซึ่งอาจทำให้ท้องอืดได้ เนื่องจากกระบวนการในการย่อยเมล็ดและเปลือกของถั่วฝักยาวโดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่
       
       “ผักตระกูลกะหล่ำปลี” ได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บร็อกโคลี ในผักกลุ่มนี้จะมีสารกอยโตรเจน ซึ่งจะไปขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์ ทำให้ร่างกายนำไอโอดีนในเลือดไปใช้ได้น้อย ในระยะยาวอาจจะเป็นโรคคอพอกได้ แต่ในระยะสั้น หากกินมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องอืดเพราะอาหารไม่ย่อย
       
       “หน่อไม้-มันสำปะหลัง” จะมีสารไซยาไนด์ ในรูปของ ไกลโคไซด์ ซึ่งมีผลต่อระบบประสาท ทำให้คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย มึนงง หมดสติ หรืออาจรุนแรงถึงขั้นหัวใจหยุดทำงานได้ ฉะนั้นควรจะนำไปปรุงสุก หรือนำไปต้มน้ำทิ้งก่อนนำมาปรุงอาหารต่อไป
       
       สำหรับผักทั้งหลายที่ “108 เคล็ดกิน” บอกมานี้ หากกินดิบในปริมาณที่พอเหมาะ ก็ไม่ได้เป็นพิษต่อร่างกาย การจะส่งผลเสียต่อร่างกายนั้น จะต้องกินผักชนิดนั้นๆ อย่างเดียว ในปริมาณมากเป็นกิโลกรัม หรือหลายๆ กิโลกรัม หลายๆ วันติดกัน แต่หากกินตามปกติในชีวิตประจำวัน กินผักหลายๆ ชนิดสลับกันไป ผักต่างๆ ก็จะกลับมาเป็นประโยชน์ให้กับร่างกายของเรา



83 เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์


83 เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์


83 เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ teen.mthai

83 เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์

1. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์?มนุษย์พลังงาน
เชื่อหรือไม่ว่าร่างกายของคนผลิตกระแสไฟฟ้าได้ คนแต่ละคนจะมีพลังงานเทียบเท่ากับการเปิดหลอดไฟฟ้าขนาด 120 วัตต์ เพราะคนที่กินอาหารเข้าไปปริมาณ 2,500 แคลอรีในแต่ละวันจะให้พลังงานความร้อน 104 แคลอรีต่อชั่วโมง ซึ่งเทียบเท่ากระแสไฟฟ้าที่มีพลังงาน 120 วัตต์
2. กะพริบตา
ตลอดชีวิตของคนเรานั้นเราต้องกะพริบตาถึง 250 ล้านครั้งทีเดียว เพราะเราจะต้องกะพริบตาทุก ๆ 6 วินาที ทำให้กล้ามเนื้อตาเคลื่อนไหวประมาณ 10,000 ครั้งต่อวัน ถ้าเปรียบกับการทำงานของกล้ามเนื้อขาแล้ว จะ
เท่ากับวิ่งระยะทาง 80 กิโลเมตรต่อวัน
3. สมองบริโภค
เชื่อหรือไม่ว่าตอนแรกเกิดสมองของเราหนักประมาณ 3% ของน้ำหนักตัวเท่านั้น แต่เมื่ออายุได้ประมาณ 15 ปี สมองจะหนักถึง 1.4 กิโลกรัมและจะมีขนาดคงที่ สมองเติบโตได้เพราะใช้พลังงานจากอากาศที่เราหายใจเข้าไป 20% และใช้เลือดหล่อเลี้ยงถึง 15% ของเลือดทั้งหมดในร่างกาย
4. กระบวนการคิด
นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่า อิริยาบถต่าง ๆ มีผลต่อการคิดและการตัดสินใจของมนุษย์ การนอนคิดจะทำให้ความคิดกว้างไกล การยืนทำให้ความคิดแคบลงสามารถตัดสินใจได้เร็วขึ้น ส่วนการนั่งเป็นอิริยาบถที่เหมาะกับการตัดสินใจที่ไม่รีบร้อนเท่าใดนัก
ผมงอก โดยปกติ ใน 1 สัปดาห์ผมจะงอกออกมา 2 มิลลิเมตรใน 1 วัน จะมีช่วงที่ผมงอกได้ดี 2 ช่วง คือ ระหว่างเวลา 10.00 ? 11.00 น. และ 16.00 ? 18.00 น. แต่ไม่ต้องเอากระจกไปส่องดูการงอกของเส้นผมหรอกนะ เพราะมันแทบจะมองไม่เห็นเลย
5. เส้นขนแข็งแรง
โดยเฉลี่ยแล้ว คนเราจะมีเส้นขนประมาณ 5 ล้านเส้นทั่วร่างกาย ยกเว้นบริเวณริมฝีปาก ฝ่ามือและฝ่าเท้า เส้นขนที่แข็งแรงที่สุดคือหนวด เชื่อหรือไม่ว่าหนวดแข็งแรงพอ ๆ กับลวดทองแดงที่มีขนาดเท่ากันเลยทีเดียว
6. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์?ตาแหลมคม
ตาของเหยี่ยวสามารถมองเห็นแมลงวันที่อยู่ในระยะครึ่งไมล์ได้ ส่วนเสือดาวก็สามารถมองเห็นคนกะพริบตาที่ระยะห่าง 100 หลาได้ ตาของคนก็มีความพิเศษเช่นเดียวกัน เพราะสามารถแยกแยะความแตกต่างของสีได้มากถึง 17,000 สี
7. ตาที่สาม
เชื่อหรือไม่ว่ามนุษย์มีสามตา ตาที่สามนี้ก็คือต่อมไพเนียลซึ่งอยู่ด้านหลังของกะโหลกศีรษะ ภายในต่อมมีสารเคมีที่มีชื่อว่าเซโรโตนินอยู่เป็นจำนวนมาก เชื่อกันว่า สารชนิดนี้ช่วยส่งผลให้มนุษย์มีการคิดอย่างสมเหตุสมผล นักวิทยาศาสตร์จึงเปรียบต่อมนี้ว่าเป็นตาที่สามของมนุษย์
8. ฮัดเช้ย!
เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาทำให้จมูกของเราเกิดการระคายเคือง เราจะจามออกมาโดยอัตโนมัติ ทุกครั้งที่เราจามจะมีน้ำลายฟุ้งกระจายออกมาถึง 100,000 หยด ด้วยอัตราเร็ว 152 ฟุตต่อวินาที
9. ริมฝีปาก
เคยสงสัยกันหรือไม่ครับว่าทำไมริมฝีปากของเราจึงมีสีแดงมากกว่าส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะผิวหนังบริเวณริมฝีปากบางกว่าส่วนอื่น ๆ นั่นเอง จึงทำให้สามารถมองเห็นสีของเลือดใต้ผิวหนังได้
10. ยิ้มแย้ม
ร่างกายของเราประกอบด้วยกล้ามเนื้อประมาณ 650 มัด หากเราหน้าบึ้งจะต้องใช้กล้ามเนื้อประมาณ 400 มัด ในขณะที่การยิ้มใช้กล้ามเนื้อ 15 มัด เท่านั้น และพลังงานที่ใช้ก็น้อยกว่าการขมวดคิ้ว 1 ครั้งเสียอีก เชื่อกันว่าการขมวดคิ้ว 200,000 ครั้ง ทำให้เกิดรอยตีนกา 1 รอย
83 เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ teen.mthai
11. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์?ฟันปลา
เชื่อกันว่าเมื่อประมาณ 1 ล้านปีที่แล้ว ฟันของมนุษย์มีลักษณะคล้ายกับฟันปลาเพราะมีการค้นพบฟันลักษณะเดียวกันกับของมนุษย์อยู่ในกรามของปลาฉลามยุคก่อนประวัติศาสตร์ ดังนั้น ฟันของมนุษย์และปลาฉลามจึงมีโครงสร้างพื้นฐานเหมือนกัน แต่ฟันของมนุษย์ได้พัฒนาจนมีรูปร่างเหมือนในปัจจุบัน
ปลาเปคู (Pacu) ปลาฟันคน >?http://teen.mthai.com/variety/59011.html
12. การทรงตัว
เชื่อหรือไม่ว่าหูมีผลต่อการทรงตัว อวัยวะที่ช่วยให้เราสามารถทรงตัวอยู่ได้คือ เซมิเซอร์คิวลาร์ คาแนล (semicir-cular canel) ในหูซึ่งภายในมีของเหลวที่ไวต่อการกระตุ้นของเหลวนี้จะทำหน้าที่ในการรับรู้สมดุล หากเราหมุนไปรอบ ๆ ตัวเร็ว ๆ หลาย ๆ ครั้ง จะทำให้อวัยวะนี้เกิดความสับสน เราจึงรู้สึกเวียนศีรษะ
13. เสียงกรน
เสียงกรนเป็นเสียงที่สร้างความรำคาญแก่ผู้ได้ยินเพราะดังพอ ๆ กับเสียงของสว่านไฟฟ้าซึ่งดังถึง 70 เดซิเบล
14. พลังปอด
เชื่อหรือไม่ว่าปกติเราจะหายใจเอาอากาศเข้าไปประมาณ 6 ลิตรต่อนาที แต่ระหว่างออกกำลังกายและหลังออกกำลังกายใหม่ ๆ เราอาจหายใจเอาอากาศเข้าไปได้มากถึง 100 ลิตรต่อนาที
15. น้ำหนักวิญญาณ
เชื่อหรือไม่ครับว่าวิญญาณของพวกเราก็มีน้ำหนักด้วยเหมือนกัน นักวิทยาศาสตร์ทดลองชั่งน้ำหนักของวิญญาณโดยชั่งน้ำหนักของคนในขณะที่มีชีวิตอยู่เปรียบเทียบกับน้ำหนักหลังจากเสียชีวิตทันที พบว่าน้ำหนักหายไป 21 กรัม จึงสรุปว่าดวงวิญญาณของพวกเรามีน้ำหนัก 21 กรัมด้วย
16. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์?สารฆ่าความเจ็บปวด
น้องๆเคยสังเกตไหมว่าทำไมบางครั้งนักกีฬาที่ได้รับบาดเจ็บในระหว่างการแข่งขันยังสามารถลงแข่งขันได้จนจบหรือทหารที่ได้รับบาดเจ็บในสนามรบยังคงทนต่อสู้ข้าศึกอยู่ได้ พวกเขาไม่เจ็บกันหรือ นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วครับว่าเมื่อมนุษย์เผชิญสถานการณ์ที่ตึงเครียด สมองจะปล่อยสารออกมายับยั้งความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้ ทำให้มนุษย์ต่อสู้กับความเจ็บปวดได้
17. ไม่มีน้ำตา
รู้หรือปล่าวว่าตอนที่เราอายุ 4-5 เดือน เราร้องไห้ไม่มีน้ำตากันหรอกครับ แม้จะร้องเสียงดังแค่ไหนก็ตาม ที่เป็นเช่นนี้เพราะต่อมน้ำตาของคนเราจะพัฒนาขึ้นหลังจากเกิดมาแล้ว 4-5 เดือน ตอนนี้พวกเราคงจะร้องไห้มีน้ำตากันทุกคนแล้วนะครับ
18. หิวเพราะกลิ่น
พอกลิ่นหอมของอาหารลอยมา พวกเราคงเคยรู้สึกหิวตามกลิ่นนั้นไปด้วยใช่ไหมล่ะ ก็กลิ่นอาหารเข้าไปกระตุ้นระบบการย่อยอาหารของเราน่ะสิครับ ทำให้น้ำย่อยในปากและท้องทำงาน เราจึงรู้สึกหิวทั้งๆที่บางครั้งเราไม่ต้องการกินอีกแล้ว
19. กระเพาะแข็งแกร่ง
ในกระเพาะอาหารของเรามีน้ำย่อยที่มีฤทธิ์เป็นกรดสูงมาก จนสามารถละลายสังกะสีได้ แต่กรดเหล่านี้ไม่สามารถละลายผนังกระเพาะของเราได้ เนื่องจากทุกนาทีเซลล์ผนังกระเพาะเก่า 5000 เซลล์ จะถูกเซลล์ใหม่แทนที่และเปลี่ยนเป็นเซลล์ใหม่ทั้งหมดทุกๆ 3 วัน
83 เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ teen.mthai
20. ท้องร้องจ๊อกๆ
พวกเราเคยได้ยินเสียงท้องร้องเมื่อรู้สึกหิวบ้างไหมครับ สาเหตุที่ท้องร้องก็เพราะสมองซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมความรู้สึกหิวของเรา จะคอยจัดลำดับการทำงานของกระเพาะอาหารและลำไส้ ถ้าในเลือดมีสารอาหารพอเพียง สมองก็จะสั่งให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง แต่เมื่อใดที่มีสารอาหารในเลือดน้อยระบบย่อยอาหารจะทำงานเร็วขึ้นเราจึงได้ยินเสียงท้องร้อง
21. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์?ตกใจจนหน้าซีด
เมื่อเราตกใจหน้าจะซีด เนื่องจากเลือดบริเวณแก้มจะไหลย้อนกลับอย่างรวดเร็วเพื่อทำหน้าที่ฉุกเฉิน คือให้สารอาหารและออกซิเจนแก่กล้ามเนื้อส่วนอื่น เนื่องจากร่างกายไม่ได้เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลาว่าจะต้องเผชิญความตกใจ เมื่อเลือดจากแก้มไหลออกไป หน้าเราจึงซีด
22. เขินอาย
เมื่อเรารู้สึกเชินอายหน้าเราก็จะแดง โดยเฉพาะบริเวณแก้มและลำคอ เพราะขณะที่เราเขินอาย เซลล์ประสาทจะถูกกระตุ้นให้ปล่อยสารเคมีที่พลังงานสูงชื่อว่า เปปไตด์ (peptide) ออกมา ทำให้เส้นเลือดที่แก้มและลำคอขยายตัว หน้าของเราจึงแดงมากกว่าปกติ
23. มาจากดวงดาว
ร่างกายของเราประกอบด้วยอะตอมจำนวนมาก อะตอมเหล่านี้มาจากไหน นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มเชื่อว่าอะตอมเกิดมาจากดวงดาวที่ดับแล้วเมื่อ 5000 ล้านปี ก่อนที่จะมีพระอาทิตย์เกิดขึ้น และดวงดวงนี้เคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ก่อนเมื่อโลกเกิดขึ้น เซลล์ของสิ่งมีชีวิตนี้ก็ได้พัฒนาเรื่อยมาจนกลายเป็นคน
24. สารพัดสาร
เชื่อหรือไม่ว่าในร่างกายของเรามีสารอยู่มากมาย เช่น มีฟอสฟอรัสในปริมาณที่มากพอจะทำหัวไม้ขีดไฟ 2,000 ก้าน มีไขมันพอที่จะทำสบู่ได้ 7 ก้อน มีเหล็กมากพอที่จะทำตะปูได้ 1 ตัว มีปูนขาวที่สามารถละลายน้ำแล้วนำไปทาห้องเล็ก ๆ ได้ 1 ห้อง มีซัลเฟอร์ 1 ช้อนชาและโลหะอีกประมาณ 30 กรัม
25. นอนแล้วสูง
การนอนช่วยให้เราสูงขึ้นได้ เพราะเมื่อเรายืนหรือนั่ง แผ่นกระดูกอ่อนที่กระดูกสันหลังจะถูกแรงดึงดูดของโลกกดลง การนอนช่วยให้แรงกดนี้หายไป แผ่นกระดูกอ่อนที่ถูกกดก็จะพองตัว ทำให้เราสูงขึ้นได้อีก 8 มิลลิเมตร แต่เมื่อตื่นมาเราก็จะสูงเท่าเดิม
26. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์?พลังกาย
ร่างกายของคนเราแข็งแกร่งมากกว่าที่เราคิดเสียอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการยกน้ำหนัก เช่น ถ้าเรานอนหลับโดยห่มผ้าหนัก 2.5 กิโลกรัม หายใจโดยเฉลี่ย 16 ครั้งต่อนาที และนอนนานประมาณ 8 ชั่วโมง ทรวงอกของเราสามารถยกน้ำหนักได้ถึง 20 ตัน
27. ฉันทำไม่ได้
สิ่งที่ร่างกายของคนเราไม่สามารถทำได้ คือหายใจและกลืนอาหารไปพร้อม ๆ กัน เพราะกระบวนการกลืนจะไปรบกวนกระบวนการหายใจด้วยการปิดกั้นอากาศไม่ให้ผ่านเข้าไปขณะที่อาหารเคลื่อนจากปากไปยังคอหอยและผ่านไปที่กระเพาะอาหาร
28. หัวใจที่รัก
ในช่วงชีวิตของมนุษย์นั้น หัวใจจะสูบฉีดโลหิตประมาณ 500 ล้านลิตรและเต้น 2,000 ล้านครั้ง ดังนั้น ใน 1 วัน หัวใจจะสูบฉีดโลหิตมากกว่า 13,500 ลิตร และเต้น 100,000 ครั้ง แต่ละวันหัวใจจึงต้องทำงานหนักเพื่อให้ได้พลังงานมากพอ เชื่อหรือไม่ว่าพลังงานที่ได้นี้สามารถยกรถยนต์ได้สูงถึง 15 เมตรเลยทีเดียว
29. เรื่องของผิวหนัง
เชื่อหรือไม่ว่าพื้นที่เพียง 1 ตารางนิ้วบนผิวหนังของเรานั้นประกอบไปด้วยเซลล์ถึง 19 ล้านเซลล์ ขน 60 เส้น ต่อมน้ำมัน 90 ต่อม ต่อมเหงื่อ 625 ต่อม เส้นเลือดยาว 19 ฟุต และเซลล์รับความรู้สึก 19,000 เซลล์
30. เซลล์เม็ดเลือด
มีผู้เชี่ยวชาญสันนิษฐานว่าถ้านำเซลล์เม็ดเลือดของเรามาต่อเป็นสายยาวจะสามารถพันรอบเส้นศูนย์สูตรได้ถึง 4 รอบเลยทีเดียว
83 เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ teen.mthai
31. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์?น้ำในร่างกาย
น้อง ๆ คิดว่า ร่างกายของเรามีสถานะใดตามหลักวิทยาศาสตร์ หลายคนอาจจะคิดว่า มีสถานะเป็นของแข็ง แต่น้อง ๆ รู้หรือไม่ว่าร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำถึง 2 ใน 3 ด้วยเหตุนี้ตลอดชีวิตของคน 1 คนจึงต้องดื่มน้ำเป็นจำนวนมากถึง 70,000 ลิตร
32. ความสำคัญของเกลือแร่
เกลือแร่เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เพราะช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง หากนำเกลือแร่ออกจากกระดูกโดยนำกระดูกไปแช่ในน้ำกรด เกลือแร่จะละลายออกมาจนสามารถนำกระดูกนั้นมาผูกให้เป็นปมได้
33. หนาวสั่น
อาการหนาวสั่นเป็นอาการที่ร่างกายแสดงออกมาเพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม หลังจากที่ได้รับความเย็นมากเกินไป เพราะความเย็นจะทำให้กระบวนการต่าง ๆ ในร่างกายทำงานช้าลง และเป็นอันตรายได้หากอุณหภูมิลดต่ำลงมาก ๆ ดังนั้น กล้ามเนื้อจึงผลิตความร้อนด้วยการทำให้กล้ามเนื้อหดตัวไปมาอย่างรวดเร็ว
34. สูงและต่ำ
ตอนกลางวัน อุณหภูมิในร่างกายของเราอาจสูงขึ้นได้มาก ๆ หากเรารับประทานอาหารมื้อใหญ่ อยู่ในที่อากาศร้อน หรือออกกำลังกายอย่างหนัก แต่ตอนกลางคืน อุณหภูมิในร่างกายของเราจะค่อย ๆ ลดลงจนต่ำที่สุดเมื่อเรานอนหลับเพื่อเป็นการรักษาสมดุล
35. ลูกผู้ชาย
การที่ผู้ชายเชื่อว่าลูกผู้ชายต้องไม่หลั่งน้ำตานั้น ส่งผลกระทบให้ผู้ชายเป็นโรคเครียดได้ง่ายกว่าผู้หญิง เพราะมีโอกาสปลดปล่อยอารมณ์ที่ถูกกดดันได้น้อย รู้อย่างนี้แล้ว ใครที่กำลังเครียดก็ลองหาโอกาสปลดปล่อยอารมณ์บ้างก็ดีนะครับ แต่ไม่ใช่เอาแต่นั่งร้องไห้อยู่ล่ะ การออกกำลังกายก็สามารถช่วยคลายเครียดได้เช่นกัน
36. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์?ตัวยารักษาโรค
การฉีดยาเป็นวิธีการรักษาโรคอีกวิธีหนึ่งที่แพร่หลาย ทราบหรือไม่ว่าแพทย์ได้ตัวยามาจากไหน ในยาฉีดนั้นมีส่วนประกอบของแบคทีเรียที่ทำให้มีฤทธิ์อ่อนลง ซึ่งได้มาจากเชื้อโรคของผู้ป่วยรายอื่นที่ป่วยเป็นโรคเดียวกับเรา นอกจากนำไปทำเป็นยาฉีดแล้ว เชื้อโรคเหล้านั้นยังสามารถนำไปทำเป็นวัคซีนป้องกันโรคได้อีกด้วย โดยวัคซีนจะเข้าไปสร้างภูมิคุ้มกันโรคชนิดนั้น ๆ ในร่างกาย
37. หาวนอน
อาการง่วงเหงาหาวนอนเกิดจากการที่เรารู้สึกเหนื่อยหรืออ่อนเพลีย ระบบทางเดินหายใจของเราจึงทำงานช้าลงเป็นผลให้กล้ามเนื้อคอหอยปิดโดยอัตโนมัติ ทำให้ร่างกายต้องการอากาศเพิ่มขึ้น เราจึงต้องหาวเพื่อเอาอากาศเข้าไปใช้ในกระบวนการหายใจ
38. ใบหน้า
วันหนึ่ง ๆ เราอาจมีอารมณ์และความรู้สึกเหล่านั้นถูกถ่ายทอดออกมาบ่อยครั้งทางใบหน้า เชื่อหรือไม่ว่ากล้ามเนื้อทั้งที่เป็นวงกลมและเป็นเส้นบนใบหน้าสามารถแสดงอารมณ์ที่หลากหลายได้มากกว่า 1,000 รูปแบบ
39. นอนหลับ
ขณะนอนหลับเราสามารถเรียนรู้ได้หรือไม่ ในสมัยก่อนนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามนุษย์ไม่สามารถเรียนรู้ในขณะนอนหลับได้ แต่จากการทดลองอย่างละเอียดของนักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังพบว่า มนุษย์จะไม่สามารถเรียนรู้ได้ในขณะที่นอนหลับสนิท แต่จะสามารถเรียนรู้ได้ในขณะที่อยู่ในช่วงสะลึมสะลือ
40. ล้มตัวลงนอน
เชื่อหรือไม่ว่า ในบรรดาสิ่งมีชีวิต มีสัตว์เพียง 2-3 ชนิดเท่านั้น ที่นอนหลับโดยเอนหลังแนบกับพื้น และสัตว์ชนิดหนึ่งที่สามารถทำเช่นนี้ได้ก็คือมนุษย์
83 เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ teen.mthai
41. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์?น้ำหนักลด
ไม่ว่าเราจะมีน้ำหนักมากน้อยเพียงใดก็ตาม น้ำหนักของเราจะสามารถลดลงได้ 300 กรัม ทุกวันในขณะที่เรานอนหลับแต่อย่าเพิ่งดีใจไปนะครับ เพราะทันทีที่ตื่นขึ้นมา น้ำหนักของเราก็จะเท่าเดิม
42. อาณาจักรแห่งความฝัน
นักวิทยาศาสตร์พบว่า ถ้าวันหนึ่ง ๆ เรานอนหลับประมาณ 8 ชั่วโมง เราจะฝัน 3-5 ครั้งต่อคืน โดยช่วงความฝันแต่ละครั้งใช้เวลานานประมาณ 10-30 นาที และถ้าเราถูกปลุกขึ้นมาในระหว่างที่กำลังฝันอยู่ เราอาจจะจำความฝันนั้นได้หรือไม่ได้ก็ได้
43. ความฝัน
เชื่อหรือไม่ว่า ความฝันช่วยทำให้จิตใจของเราสดชื่นเบิกบานได้ ไม่ว่าเราจะจำความฝันนั้นได้หรือไม่ก็ตาม เพราะความฝันจะแสดงถึงสิ่งที่เราอยากทำเมื่อตื่น แต่เราไม่สามารถทำได้ด้วยเหตุผลนานาประการ
44. เวลาของความฝัน
ผู้เชี่ยวชาญแสดงทัศนะเกี่ยวกับเวลาในช่วงของความฝันไว้ว่า เวลาที่เราตื่นอยู่ประสาทความรู้สึกเกี่ยวกับเวลาของเราจะเป็นแนวตั้ง ดังนั้น เราจึงรับรู้แต่ขณะปัจจุบันเท่านั้น แต่เมื่อเราหลับมันจะกลายเป็นเส้นแนวนอน
ทำให้เราสามารถเดินทางไปในอดีตและอนาคตได้
45. สร้างความฝัน
ถ้าอยากให้ความฝันสวยงามลองงดดื่มเครื่องดื่มทุกชนิดประมาณ 1-2 ชั่วโมงก่อนเข้านอนสิครับ เพราะผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าจะทำให้ความฝันยิ่งใหญ่ และถ้าใครเห็นความฝันของตนเองเป็นสีต่าง ๆ ละก็แสดงว่าเป็นคนที่ไวต่อการกระตุ้นต่าง ๆ รอบตัวมากทีเดียว
46. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์?จมูกของมด
ใครรู้บ้างว่ามดใช้อะไรในการดมกลิ่น คำตอบก็คือใช้เท้านั่นเอง การใช้เท้าดมกลิ่นช่วยให้มันสามารถตามกลิ่นที่เพื่อนของมันทิ้งไว้ตามทางได้ นอกจากนี้มันยังสามารถใช้ข้อต่อที่หนวดรับกลิ่นได้อีกด้วย
47. นายช่างใหญ่
บีเวอร์เป็นสัตว์ที่ชอบสร้างเขื่อนและบ้านของมันมาก มันจะคาบกิ่งไม้และกินไม้เป็นอาหาร ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะถ้าไม่ได้กัดไม้ทุกวัน ฟันของมันก็จะงอกและยาวขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้มันกินอาหารไม่ได้และอดตายในที่สุด
48. อูฐลื่น
อูฐเป็นสัตว์ที่ขาแต่ละข้างประกอบด้วยนิ้วขนาดใหญ่ 2 นิ้ว ปกคลุมด้วยแผ่นรองเท้าที่หนาและเหนียวทั้งยังมีแผ่นหนังบาง ๆ เชื่อมนิ้วเท้าให้ติดกัน ทำให้เท้าอูฐแข็งแรงเหมาะสำหรับเดินในทะเลทราย แต่หากจับอูฐมาอยู่ในโคลนละก็ เท้าแบบนี้ก็ไร้ประโยชน์เพราะจะทำให้อูฐลื่นไถลได้ง่าย
49. หางเก็บอาหาร
มีสัตว์อยู่หลายชนิดที่มีหางและหางของมันก็ใช้ประโยชน์ได้แตกต่างกันไป อย่างเช่น แกะพันธุ์หนึ่งที่ใช้หางของมันทำหน้าที่เก็บหญ้าซึ่งเป็นอาหารของมันไว้ เมื่อหญ้าขาดแคลน หญ้าที่ถูกสะสมไว้ที่หางก็จะเปลี่ยนเป็นไขมันเพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย
50. หูหนวกเต้นระบำ
หากใครเคยชมภาพยนตร์อินเดียคงจะเคยเห็นงูที่เต้นระบำเมื่อได้ยินเสียงปี่ จริง ๆ แล้วมันไม่ได้เต้นระบำเพราะเสียงปี่หรอกครับ งูเป็นสัตว์ที่หูหนวกจึงไม่ได้ยินเสียงปี่ แต่ที่มันเต้นส่ายไปส่ายมาก็เพราะจังหวะการเคลื่อนไหวของหมองูต่างหาก ถ้าลองใช้ไม้แทนปี่ งูก็ยังคงเต้นระบำได้เหมือนกั
83 เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ teen.mthai
51. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์?สุนัขน้ำร้อน
สุนัขเป็นสัตว์ที่คนนิยมเลี้ยงกันโดยทั่วไป เพราะนอกจากจะใช้เฝ้าบ้านแล้ว สุนัขยังทำหน้าที่ได้หลายอย่าง นานมาแล้วชาวอินเดียนแอซเทคนำสุนัขพันธุ์เม็กซิโกซึ่งตัวเล็กนิดเดียวและมีขนสั้นบางมาใช้แทนกระเป๋าน้ำร้อน เพื่อสร้างความอบอุ่นแก่เท้าเจ้าของเมื่ออากาศหนาว
52. ช้างนักกิน
ช้างแอฟริกามีขนาดใหญ่มาก หนักถึง 7 ตัน ที่ตัวใหญ่ขนาดนี้เพราะมันใช้เวลาในการกินประมาณ 18-20 ชั่วโมงต่อหนึ่งวัน โดยกินพืชผักประมาณวันละ 350 กิโลกรัมและกินน้ำ 90 ลิตร
53. กินทางตา
โดยปกติสัตว์จะกินอาหารทางปาก แต่สำหรับคางคกและกบแล้ว พวกมันจะกินอาหารทางตา เมื่อกินอาหารมันจะปิดตาแน่น ดันลูกตาที่แข็งให้ชนเพดานปากทำให้เพดานปากถูกกดลงมาแนบกับลิ้นแล้วดันอาหารลงสู่กระเพาะอาหาร นอกจากนี้มันยังดื่มน้ำโดยการดูดซึมน้ำผ่านทางผิวหนังด้วย
54. ปลิงป้องกันตัว
ปลิงทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิกมีวิธีป้องกันตัวเองที่แปลกคือ เมื่อถูกทำร้ายมันจะหดตัวทันทีและจะดันอวัยวะภายในของมันออกมา แต่มันก็ยังไม่ตาย อวัยวะเหล่านั้นจะเป็นอาหารของผู้ที่ทำร้ายมัน แล้วมันจะค่อย ๆ หลบหนีไป จากนั้น 2 ?3 สัปดาห์อวัยวะภายในของมันก็จะงอกใหม่
55. ตาเคลื่อนที่
ปลาลิ้นหมาไม่ได้มีตาเดียวอย่างที่พวกเราเห็นกัน ตอนแรกที่มันเกิดมามันจะมี 2 ตา แต่เมื่ออายุมากขึ้น ตาของมันจะย้ายตำแหน่งมารวมกัน โดยเคลื่อนที่ไปรวมกับตาอีกข้างหนึ่งซึ่งอยู่บนหัว
56. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์?ระเบิดควัน
ปลาหมึกยักษ์มีวิธีการป้องกันตัวคล้ายการสร้างระเบิดควันของทหาร เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู มันจะพ่นหมึกดำในถุงด้านหลังลำตัวออกมาทำให้น้ำบริเวณรอบ ๆ ขุ่นดำ แล้วมันจะรีบหนีไป นักวิทยาศาสตร์พบว่ามันสามารถเปลี่ยนสีหมึกของมันให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ด้วย เช่น สีแดง สีเหลือง สีเทา เป็นต้น
57. กบหดตัว
กบพาราดอกซิคัล (Paradoxical) ในอเมริกาใต้มีความพิเศษคือยิ่งมันเจริญเติบโตขึ้นตัวก็ยิ่งเล็กลง เมื่อเป็นลูกอ๊อดมันมีลำตัวยาวถึง 10 นิ้ว แต่เมื่อโตเป็นกบลำตัวจะหดลงจนเหลือขนาดไม่เกิน 3 นิ้วเท่านั้น
58. หนอนกระสือ
หนอนกระสือตัวเมียจะมีอวัยวะที่เรืองแสงอยู่บริเวณใต้ท้องซึ่งใช้ส่งสัญญาณไปยังปีกของตัวผู้ที่บินอยู่ด้านบน หนอนกระสือตัวเมียสามารถควบคุมการเปล่งแสงได้ โดยจะใช้แสงต่อเมื่อต้องการดึงดูดตัวผู้เท่านั้น
59. แสงนำทาง
รู้ไหมทำไมผีเสื้อกลางคืนจึงชอบบินเข้าหาแสงไฟในตอนกลางคืน เพราะปกติผีเสื้อกลางคืนจะใช้แสงจันทร์นำทาง แต่แสงอื่นทำให้มันสับสนและประสาททางด้านทิศทางเสียไป ดังนั้น มันจึงพยายามปรับแสงจันทร์ปลอมให้ทำมุมเดียวกันกับแสงจันทร์จริง ๆ โดยการบินเป็นวงกลมเข้ามาใกล้แสงนั้นมากขึ้น
60. เครื่องขยายเสียง
จิ้งหรีดตัวผู้จะใช้เสียงเพลงซึ่งเกิดจากขาหน้าเสียดสีกันการดึงดูดตัวเมีย แต่จะไม่ดังนัก มันจึงสร้างเครื่องขยายเสียงชนิดพิเศษ โดยการขุดรังใต้ดินให้มีอุโมงค์ทางเข้าสองทาง แล้วก็ยืนส่งเสียงไพเราะอยู่ทางอุโมงค์ด้านหนึ่ง แต่ที่แปลกอีกอย่างหนึ่งก็คือ หูที่ไวต่อเสียงของมันไม่ได้อยู่ที่หัวแต่ที่อยู่ที่ขา
83 เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ teen.mthai
61. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์?สัตว์มีเหงื่อหรือไม่
สุนัขก็มีเหงื่อครับ แต่เหงื่อของมันจะออกบริเวณฝ่าเท้า นอกจากนี้สัตว์อื่น ๆ เช่น วัว จะมีเหงื่อออกทางจมูก ส่วนเหงื่อของฮิปโปโปเตมัสจะออกมาจากทุกส่วนของร่างกายและจะเป็นเหงื่อสีแดง ลองสังเกตนะครับว่าสัตว์อื่น ๆ มีเหงื่อออกที่ส่วนใดของร่างกาย
62. หนึ่งไม่มีสอง
คนเรามีลายนิ้วมือไม่เหมือนกัน ม้าลายแต่ละตัวก็มีแถบลายเฉพาะที่ซึ่งจะไม่ซ้ำกับม้าลายตัวอื่น ๆ เช่นกัน
63. หนูนักร้อง
หนูเป็นสัตว์ที่สามารถร้องเพลงได้ แต่เสียงร้องของมันจะเป็นเสียงซูเปอร์โซนิค (Supersonic) ซึ่งมีลักษณะเป็นเสียงสูงและรัว ทำให้เราไม่ได้ยินเสียงเพลงของมัน แต่ถ้ามันลดระดับเสียงให้ต่ำลงจนถึงระดับปกติที่เราสามารถได้ยิน เราก็จะได้ยินเสียงเพลงจากหนูได้
64. สัตว์ปากกว้าง
สัตว์ที่สามารถอ้าปากได้กว้างที่สุดคืองูเหลือมเรติคูเลเตด (Reticulated python) มันสามารถยืดตัวได้ถึง 10 เมตร และอ้าปากกว้างจนกลืนกินสัตว์ที่มีน้ำหนัก 55 กิโลกรัม จึงไม่แปลกที่จะมีคนพบสัตว์ใหญ่ ๆ อย่างเสือดาวในท้องของมัน
65. ไม่เอาไมโครโฟน
ไซเมียง (Simiang) เป็นสัตว์บกที่มีถุงลมขนาดใหญ่ จึงตะโกนได้เสียงดังกว่าสัตว์อื่น ๆ มันสามารถตะโกนให้สัตว์ที่อยู่ห่างออกไปถึง 8 กิโลเมตรได้ยินได้ ส่วนสัตว์น้ำที่สามารถตะโกนได้เสียงดังที่สุดคือ ปลาวาฬรอร์ควอล (Rorqual whale) มันสามารถร้องเพลงด้วยความถี่ 20 เฮิรตซ์ ให้ได้ยินไปไกลถึง 150 กิโลเมตรเลยทีเดียว
66. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์?นักแม่นธนู
ปลาเสือมีวิธีจับเหยื่อที่คล้ายกับการยิงธนู โดยมันจะพ่นน้ำไปยังแมลงที่เกาะอยู่บนต้นพืชเหนือน้ำ ทำให้แมลงตกลงในน้ำ จากนั้นก็จะตรงเข้าไปฮุบแมลงนั้นไว้ทันที ปลาเสือสามารถพ่นน้ำใส่เหยื่อของมันในระยะ 3 เมตรได้อย่างแม่นยำ
67. อาวุธของทากทะเล
ทากทะเลไม่มีเปลือกห่อหุ้มร่างกาย ดังนั้น มันจึงป้องกันตัวโดยการกินเซลล์เข็มพิษของแมงกะพรุนเข้าไปเพื่อใช้เป็นอาวุธ เข็มพิษนี้จะไม่ถูกย่อยไปพร้อมกับอาหาร แต่จะถูกส่งไปเก็บไว้ที่ใต้ผิวหนังบริเวณด้านหลัง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูมันก็จะป้องกันตัวด้วยการปล่อยเข็มพิษออกมา
68. ปลาฉลามว่ายน้ำ
ถ้าเรามีโอกาสได้เฝ้าดูปลาฉลามอย่างใกล้ชิดก็จะพบว่าปลาฉลามต้องว่ายน้ำตลอดเวลา หากหยุดว่ายน้ำมันจะตาย เพราะปลาชนิดอื่น ๆ จะมีถุงลมทำให้หายใจได้แม้ไม่เคลื่อนที่ แต่ปลาฉลามไม่มีถุงลม ดังนั้น ถ้ามันหยุดว่ายน้ำก็จะทำให้ไม่มีออกซิเจนไหลผ่านเหงือกจึงไม่มีออกซิเจนใช้ในการหายใจ
69. สุดยอดตัวอ่อน
ตัวอ่อนของสัตว์ที่กินเก่งที่สุดในโลกคือตัวอ่อนของผีเสื้อกลางคืนในอเมริกาเหนือ เนื่องจากมันสามารถกินอาหารที่มีน้ำหนักมากถึง 86,000 เท่าของน้ำหนักตัวภายในเวลา 48 ชั่วโมงแรกที่มันเกิดมา
70. หมอกเพื่อชีวิต
ด้วงแอฟริกาใต้ที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายนามิบมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินหมอก ปกติมันจะอาศัยอยู่ใต้เนินทรายซึ่งอุณหภูมิค่อนข้างคงที่ แต่เมื่อมันกระหายน้ำ มันก็จะบินออกมาเกาะยอดเนินแล้วปล่อยให้ลดพัดพาหมอกมาจับบนตัวของมัน เมื่อหมอกเกิดการควบแน่นจนกลายเป็นหยดน้ำมันก็จะกินน้ำนั้นแก้กระหาย
83 เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ teen.mthai
71. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์?เพลงรัก
ปูทรอปิคัล ฟีดเดลอร์ (Tropical Fiddler) เป็นปูที่มีสีสันสวยงาม ก้ามข้างซ้ายของปูตัวผู้จะมีขนาดใหญ่สะดุดตา ซึ่งมันจะใช้ดึงดูดตัวเมียในช่วงฤดูผสมพันธุ์ โดยจะขยับก้ามไปข้างหลังและข้างหน้าสลับกันคล้ายการสีไวโอลิน แม้จะไม่มีเสียงออกมา แต่ก็สร้างความประทับใจและดึงดูดตัวเมียให้เข้าไปหามันอย่างรวดเร็วได้
72. เวลาของพืช
คน สัตว์ และพืชเป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน แต่สิ่งที่คนและสัตว์ต่างจากพืชก็คือ การเจริญเติบโต คนและสัตว์จะมีช่วงที่เจริญเติบโตและหยุดโตเมื่อถึงอีกช่วงอายุหนึ่ง แต่สำหรับพืชแล้ว มันจะยังคงเจริญเติบโตไปเรื่อย ๆ และจะหยุดก็ต่อเมื่อมันตายเท่านั้น
73. ราโตเร็ว
ราบราซิเลียน (Brazillian fungus) เป็นพืชที่โตเร็วที่สุดมันจะงอกจากพื้นดินด้วยอัตราเร็ว 5 มิลลิเมตรต่อนาที และเจริญเติบโตเต็มที่ภายใน 20 นาที น้ำจะช่วยให้มันเจริญเติบโตได้ดีเป็นพิเศษ และเรายังสามารถได้เยินเสียงปริแตกเนื่องจากอาการบวมน้ำและเห็นน้ำไหลออกมาได้ด้วย
74. ต้นไม้พูดได้
นักวิทยาศาสตร์พบว่าต้นไม้สามารถสื่อสารกันได้หากอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน พืชมีความรู้สึกชอบและไม่ชอบเช่นเดียวกับคน ดังนั้น หากมีต้นไม้ที่มันไม่ชอบขึ้นบริเวณนั้น มันก็จะปล่อยสารฟีโรโมน (Pheromones) เพื่อสื่อสารให้ต้นอื่นรับรู้ สารนี้จะไปกระตุ้นให้พืชที่มันชอบเจริญเติบโตและจะทำลายพืชที่มันไม่ชอบ
75. พืชป้องกันตัว
มีพืชอยู่หลายชนิดที่จะป้องกันตัวเองเมื่อถูกแมลงรบกวน โดยภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากถูกรบกวน พืชจะปล่อยสารที่มีชื่อว่าเทอร์เพนและแทนนิน (Terpene, Tannin) ที่บริเวณใบโปรตีนในใบจะเปลี่ยนเป็นโปรตีนที่ย่อยยากขึ้น แมลงที่บุกรุกก็จะขาดโปรตีน พืชก็จะรอดพ้นจากการถูกแมลงรบกวน
76. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์?ชีวิตในความตาย
ต้นปาล์มทาลิพอต (Talipot) เป็นไม้ดอกที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีช่วงชีวิตประมาณ 70 ปี แต่ตลอดชีวิตของมันจะออกดอกเพียงครั้งเดียว ดอกสูงถึง 6 เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 เมตร กว่าเมล็ดทั้งหมดจะสุกเป็นผลใช้เวลาประมาณ 1 ปี ต่อจากนั้นเมื่อมีการผสมพันธุ์อีกครั้งมันก็จะตาย
77. เรื่องบังเอิญ
เมื่อประมาณพันกว่าปีมาแล้ว คนดูแลฝูงแกะชาวอบิสซีเนียค้นพบกาแฟโดยบังเอิญ เพราะวันหนึ่งเขาได้กลิ่นหอมของพุ่มไม้ป่าที่ถูกเผาจึงลองชิมดูและเกิดติดใจในรสชาติ เขาจึงนำไปต้มในน้ำเดือด ตั้งแต่นั้นมากาแฟจึงกลายเป็นสิ่งที่นิยมบริโภค
78. ต้นสารพัดประโยชน์
ปาล์มเป็นต้นไม้สารพัดประโยชน์คล้ายต้นกล้วยเพราะทุกส่วนนำไปใช้ประโยชน์ได้ตั้งแต่นำใบมามุงหลังคา ก้านนำมาทำเป็นเชือก ผล ลำต้น และใบอ่อนนำมาทำเป็นอาหาร เปลือกใช้ทำผ้าและกระดาษ เมล็ดนำมาทำกระดุม นอกจากนี้ยางของปาล์มยังสามารถใช้ทำไวน์ได้อีกด้วย
79. ไฟช่วยชีวิต
สนเป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่ต้องใช้ไฟป่าในการแพร่ขยายพันธุ์ ความร้อนของไฟจะทำให้ผลของสนปริแตก เมล็ดก็จะกระเด็นไปตกบริเวณอื่นแล้วเกิดเป็นสนต้นใหม่ แต่ถึงอย่างไรป่าสนที่ถูกไฟไหม้ก็จะต้องถูกทำลายไปเพื่อแลกกับป่าสนที่จะเกิดขึ้นใหม่
83 เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์ teen.mthai
80. บานวันละดอก
ต้นหญ้าบลูอาย มีก้านดอกไม่แข็งแรงพอที่จะรองรับน้ำหนักของดอกที่บานมากกว่า 1 ดอก ดังนั้น ธรรมชาติจึงสร้างให้ดอกของมันบานในตอนเช้าแล้วเหี่ยวแห้งตายในตอนกลางคืน เพื่อจะได้มีดอกไม้ดอกใหม่ผลิบานในวันรุ่งขึ้น
81. เรื่องน่ารู้ทางวิทยาศาสตร์?เพราะแสงอาทิตย์
ต้นอินเดียนเทเลกราฟ (Indian Telegraph) สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยตนเอง เมื่ออยู่ท่ามกลางแสงแดดจ้า ใบของมันจะเคลื่อนที่ขึ้นลงและจากข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่ง แล้วจะหยุดเคลื่อนไหว หลังจากนั้นอีก 2-3 นาทีมันก็จะเคลื่อนไหวแบบนี้อีกครั้ง
82. สมองพืช
เชื่อหรือไม่ว่าพืชสามารถผลิตสารชนิดเดียวกับที่สมองของคนและสัตว์ผลิตได้ ต้นฝิ่นสามารถผลิตสารที่คล้ายกับเอนโดฟีน (Endorphin) ซึ่งถูกปล่อยออกมาจากสมองของคน นอกจากนี้ต้นโจโจบายังสามารถให้น้ำมันซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายสารที่ได้จากปลาวาฬเสปิร์มอีกด้วย
83. ต้นไผ่พิศวง
ในหนึ่งวัน ต้นไผ่ฮัมเบิลสามารถเจริญเติบโตได้สูงกว่า 40 เซนติเมตร คนจีนโบราณจะใช้ต้นไผ่นี้เป็นเครื่องทรมาน โดยผู้เคราะห์ร้ายจะถูกนำมามัดติดไว้ที่ต้นไผ่โดยมีหน่ออ่อนของมันแทงอยู่ที่หลัง ภายใน 2-3 ชั่วโมง หน่อไผ่ก็จะแทงทะลุหลังของผู้เคราะห์ร้าย


วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ประวัติ แบลส ปาสกาล (Blaise Pascal)



 แบลส ปาสกาล
(Blaise Pascal)
ค.ศ.1623 - 1662
 ประวัติ 
          ปาสกาลเกิดที่เมือง Chermont มณฑล Auvergne ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ.1623 บิดาเป็นนักคณิตศาสตร์และผู้พิพากษา ปาสคาลไม่ใช่ผู้พัฒนาภาษาคอมพิวเตอร์ที่ชื่อภาษาปาสกาล ช่วงที่ปาสกาลยังมีชีวิตอยู่มีระยะเวลากว่า 300 ปีก่อนที่จะมีคอมพิวเตอร์ ดร.เวียต ผู้พัฒนาภาษาปาสกาลได้ตั้งชื่อภาษาให้เป็นเกียรติแก่ปาสกาล ทั้งนี้เพราะปาสกาลเป็นคณิตศาสตร์ผู้หนึ่งในยุคการพัฒนาวิชาคณิตศาสตร์ในช่วงศตวรรตที่ 16 - 17
           ปาสกาลเป็นผู้มีจินตนาการและความคิดที่กว้างไกล ปาสกาลแสดงความเป็นอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ตั้งแต่เด็ก ปาสคาลได้ศึกษาแนวคิดของยุคลิดในเรื่อง Elements ในช่วงอายุยังวัยเยาว์ เขาทำความเข้าใจหลักและทฤษฎีหลายอย่างของยูคลิดได้ก่อนอายุ 12 ปี  เมื่ออายุได้ 12 ปี ท่านพัฒนาเรขาคณิตเบื้องต้นด้วยตนเอง เมื่ออายุได้ 14 ปี ท่านเข้าร่วมประชุมกับนักคณิตศาสตร์ฝรั่งเศส ซึ่งต่อมานักคณิตศาสตร์กลุ่มนี้สถาปนา French Academy ในปี ค.ศ.1666 เมื่ออายุได้ 16 ปี ท่านไดัพัฒนาทฤษฎีบทที่สำคัญในวิชาเรขาคณิตโพรเจกทีฟและได้เสนอผลงานวิจัยในบทความที่เขานำเสนอได้แก่ Essay on Conic Sections ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับรูปตัดกรวยที่แสดงการวิเคราะห์เชิงเรขาคณิตและคณิตศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง และเมื่ออายุได้ 19 ปี ท่านได้พัฒนาเครื่องคิดเลข


(เรื่องน่ารู้) 10 อันดับองค์กรสายลับที่เก่งที่สุดในโลก


(เรื่องน่ารู้) 10 อันดับองค์กรสายลับที่เก่งที่สุดในโลก






ชื่อ:  10.png
ครั้ง: 1888
ขนาด:  102.0 กิโลไบต์


10.องค์กร DGSE (ประเทศฝรั่งเศส)


เป็นองค์กรที่ประสบความสำเร็จในการทำภารกิจหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆในการปฏิบัติการในแต่ละเรื่อง การเล่นเกมเสี่ยงๆที่ล้วนแล้วอาจเกิดสั่นคลอนกับประเทศตัวเองได้ และเป็นองค์กรที่มีชื่อเสียงในการด้านการสงคราม






ชื่อ:  9.png
ครั้ง: 1889
ขนาด:  30.2 กิโลไบต์


9.องค์กร Raw (ประเทศอินเดีย)


เป็นองค์กรที่ถือว่าอันตรายมาก ซึ่งเป็นองค์กรที่หนักไปทางการต่อต้านการก่อการร้าย ติดตามความเคลื่อนไหวประเทศต่างๆทุกฝีก้าว และก็มีการวางแผนอย่างแยบยลสุดๆที่ประเทศอื่นๆรู้ไม่ทันเกมขององค์กรนี้ ซึ่งองค์กรนี้จะทำงานในลักษณะที่ไม่เปิดเผยอะไรมากนัก






ชื่อ:  8.gif
ครั้ง: 1889
ขนาด:  20.7 กิโลไบต์


8.องค์กร Asis (ประเทศออสเตรเลีย)


เป็นองค์กรที่กำกับดูแลการค้าและเรื่องระหว่างประเทศ ซึ่งองค์กรนี้จะมีการเจาะข้อมูลหลายๆประเทศเข้ารวมด้วยกัน และต่อมาองค์กรนี้ก็เน้นหนักไปทางด้านการต่อต้านการก่อการร้ายข้ามชาติ และต่อต้านการเคลื่อนไหวในลักษณะปฏิวัติ






ชื่อ:  7.png
ครั้ง: 1892
ขนาด:  39.9 กิโลไบต์


7.องค์กร BND (ประเทศเยอรมัน)


เป็นองค์กรที่มีความชำนาญในเรื่องการดักฟังและก็แทรกซึมเข้าไปในองค์กรสายลับในแต่ละประเทศ ซึ่งการจารกรรมแต่ละครั้งก็ประสบความสำเร็จได้ด้วยดี ทั้งยังสามารถหาช่องโหว่เข้าไปในจุดที่มีความเข้มงวดกวดขันในเรื่องความมั่งคงสูงๆได้และก็แทรกซึมไปในรัฐบาลแต่ละประเทศได้อีกด้วย และองค์กรนี้ก็ยังให้ความสำคัญกับการก่อการร้าย ยาเสพติด องค์กรอาชญากรรมด้วย




ชื่อ:  6.png
ครั้ง: 1882
ขนาด:  74.8 กิโลไบต์


6.องค์กร ISI (ประเทศปากีสถาน)


เป็นองค์กรที่ต่อต้านการก่อการร้ายข้ามชาติ องค์กรนี้เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องการติดตามโดยใช้อุปกรณ์ของสายลับโดยเฉพาะในการติดตามผู้ต้องสงสัย เป็นองค์กรที่ทำงานด้วยความก้าวร้าว ทะเยอทะยานสูงมากในการปกป้องความปลอดภัยประชาชน ปกป้องเศรษฐกิจและก็การเมืองระดับชาติ




ชื่อ:  5.png
ครั้ง: 1889
ขนาด:  70.9 กิโลไบต์


5.องค์กร MSS (ประเทศจีน)


ถือเป็นองค์กรที่น่าเกรงขามที่สุดองค์กรหนึ่ง ที่ถือว่าเป็นกำแพงเหล็กหนาของประเทศจีนโดยเฉพาะ ซึ่งองค์กรนี้มีการฝึกฝนสายลับระดับสูง ทั้งยังมีส่วนในการต่อต้านการก่อการร้าย ต่อต้านการตรวจสอบองค์กรสายลับข้ามชาติและก็ความมั่งคงของประเทศ ทั้งยังสามารถเก็บสะสมข้อมูลที่น่าสนใจในแต่ละประเทศอีกด้วย




ชื่อ:  4.jpg
ครั้ง: 1887
ขนาด:  12.2 กิโลไบต์


4.องค์กร MI6 (ประเทศอังกฤษ)


องค์กรนี้พวกเราก็คงรู้จักกันดีในหนังเรื่อง James Bond องค์นี้ถือเป็นแนวหน้าของประเทศอังกฤษเลยทีเดียว เป็นที่รู้จักกันในเรื่องของการปฏิบัติการโดยสายลับระดับโคตรเซียนในแต่ละปี ซึ่งกล่าวกันว่าองค์กรนี้มักจะแทรกซึมโดยปลอมตัวเป็น นักหนังสือพิมพ์ ครู นายทุน และก็ทำตัวไม่ให้โดดเด่นในสังคม 



ชื่อ:  3.png
ครั้ง: 1880
ขนาด:  90.3 กิโลไบต์


3.องค์กร GRU (ประเทศรัสเซีย)


เป็นองค์กรที่ถือว่าน่าเกรงขามสุดๆอีกองค์กรหนึ่งที่ปฏิบัติงานแต่ละครั้งก็ล้วนมีแต่ความมุ่งมัน และทะเยอทะยานสุดๆ จนทำให้องค์กรนี้มีชื่อเสียงไปทั่วโลก เป็นที่รู้จักกันในเรื่องการขัดขวางและก็ทำลายหรือฆ่าคนอย่างเงียบเชียบในแต่ละสถานการณ์ต่างๆ และก็มีบทบาทในเรื่องของการต่อต้านก่อการร้ายข้ามชาติ และก็เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวแต่ละประเทศอย่างใกล้ชิด






ชื่อ:  2.png
ครั้ง: 1889
ขนาด:  87.3 กิโลไบต์


2.องค์กร CIA (ประเทศอเมริกา)


องค์กรนี้มีส่วนสำคัญที่ทำให้ประเทศอเมริกาเป็นมหาอำนาจจนถึงทุกวันนี้ โดยจะเน้นไปในเรื่องความมั่นคงของประเทศเป็นหลัก มีสายลับที่ช่ำช่องทั่วทุกมุมโลก มีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงจนยากที่จะหลบหลีกได้ ทั้งยังมีบทบาทสำคัญหลายๆอย่างทั้งภายในประเทศและนอกประเทศในการแทรกซึมปฏิบัติการทั่วทุกมุมโลก และยังมีส่วนสำคัญในการทำให้ประเทศต่างๆเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคมอีกด้วย





ชื่อ:  1.png
ครั้ง: 1875
ขนาด:  42.6 กิโลไบต์


1.องค์กร Mossad (ประเทศอิสราเอล)


องค์กรนี้แน่นอนว่าเป็นองค์กรที่ประเทศไหนยากที่จะรับมือได้ ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสังหาร การจารกรรมข้อมูลต่างๆ และยังเป็นองค์กรที่รู้กันดีว่า เหี้ยมโหดที่สุดด้วย ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการแทรกซึมทั่วทุกมุมโลก การปฏิบัติการที่รวดเร็วฉับไวสุดๆ ซึ่งแน่นอนว่าสายลับแต่ละคนล้วนเป็นสายลับที่เรียกได้ว่า เป็นคนกล้าบ้าบิ่นสุดๆ พร้อมที่จะฆ่าทุกๆคนได้ทุกๆเมื่อ ทุกๆที่ เพื่อความมั่งคงของประเทศอิสราเอล



ประวัติองค์การนาซ่า



ประวัติองค์การนาซ่า

องค์การนาซา หรือ องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (National Aeronautics and Space Administration -- NASA) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958) ตามพระราชบัญญัติการบินและอวกาศแห่งชาติ เป็นหน่วยงานส่วนราชการ รับผิดชอบในโครงการอวกาศและงานวิจัยห้วงอากาศอวกาศ (aerospace) ระยะยาวของสหรัฐอเมริกา คอยจัดการหรือควบคุมระบบงานวิจัยทั้งกับฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 องค์การนาซาได้ประกาศภารกิจหลักคือการบุกเบิกอนาคตแห่งการสำรวจอวกาศ


คำขวัญขององค์การนาซาคือ "เพื่อประโยชน์ของคนทุกคน"

การแข่งขันในการสำรวจอวกาศ หลังจากสหภาพโซเวียตส่งดาวเทียมดวงแรกของโลก (ดาวเทียมสปุตนิค 1) ขึ้นสู่อวกาศ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) สหรัฐฯ เริ่มหันมาใส่ใจกับโครงการอวกาศของตนเองมากขึ้น สภาคองเกรสรู้สึกหวั่นเกรงต่อภัยด้านความมั่นคงและภาวะความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของตน ประธานาธิบดีดไวท์ ดี. ไอเซนฮาวร์ และคณะที่ปรึกษาได้ประชุมหารือกันเป็นเวลานานหลายเดือนจนได้ข้อสรุปว่า สหรัฐฯ จำเป็นต้องก่อตั้งหน่วยงานราชการขึ้นใหม่ ให้ทำหน้าที่เกี่ยวกับกิจกรรมอวกาศทั้งหมดที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทหาร วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958) ประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์ลงนามในกฎหมายการบินและอวกาศแห่งชาติ ค.ศ. 1958 เพื่อก่อตั้งองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (NASA) เริ่มปฏิบัติงานในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ขณะนั้นนาซาประกอบด้วยห้องปฏิบัติการ 4 แห่ง มีพนักงานประมาณ 8,000 คน ที่โอนมาจากคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านการบินแห่งชาติ (NACA) ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยของรัฐที่มีอายุกว่า 46 ปี โครงการในระยะแรกของนาซาเป็นการวิจัยโดยมีเป้าหมายส่งมนุษย์ขึ้นไปกับยานอวกาศ ดำเนินไปพร้อมแรงกดดันจากการแข่งขันกับสหภาพโซเวียตในระหว่างสงครามเย็น นาซาเริ่มต้นศึกษาความเป็นไปได้ ในการใช้ชีวิตของมนุษย์ในห้วงอวกาศด้วยโครงการเมอร์คิวรีในปี พ.ศ. 2501 ต่อมาวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) นักบินอวกาศ อลัน บี. เชเพิร์ด จูเนียร์ กลายเป็นชาวอเมริกันคนแรกในอวกาศ เมื่อเขาเดินทางไปกับยานฟรีดอม 7 ในภารกิจนาน 15 นาที แบบไม่เต็มวงโคจร หลังจากนั้นจอห์น เกล็นน์ กลายเป็นชาวอเมริกันคนแรกที่โคจรรอบโลกเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) ในการขึ้นบินนาน 5 ชั่วโมงกับ ยานเฟรนด์ชิป 7


โครงการอะพอลโล เมื่อโครงการเมอร์คิวรีพิสูจน์และยืนยันว่า การส่งมนุษย์ขึ้นไปโคจรในอวกาศสามารถเป็นไปได้ นาซาจึงเริ่มโครงการอะพอลโล โดยเป็นความพยายามส่งมนุษย์ไปโคจรรอบดวงจันทร์ โดยยังไม่มีเป้าหมายส่งมนุษย์เหยียบพื้นผิวดวงจันทร์แต่อย่างใด ทิศทางของโครงการอะพอลโลเปลี่ยนไปเมื่อประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี ประกาศเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2504 (ค.ศ. 1961) ว่าสหรัฐอเมริกาจะ "ส่งมนุษย์ไปลงบนดวงจันทร์แล้วกลับสู่โลกอย่างปลอดภัย" ภายในปี พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) โครงการอะพอลโลจึงกลายเป็นโครงการนำมนุษย์ลงสู่พื้นผิวดวงจันทร์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โครงการเจมินีเริ่มต้นขึ้นไม่นานหลังจากนั้น เพื่อทดสอบและยืนยันเทคนิค ที่จำเป็นต้องใช้กับโครงการอะพอลโลที่ซับซ้อนขึ้น หลังจาก 8 ปีของภารกิจเบื้องต้น ซึ่งรวมถึงอุบัติเหตุเพลิงไหม้ที่คร่าชีวิตนักบินอวกาศ 3 คนในยานอะพอลโล 1 โครงการอะพอลโลบรรลุเป้าหมายได้ในที่สุดเมื่อยานอะพอลโล 11 นำนีล อาร์มสตรอง และบัซซ์ อัลดริน ลงสัมผัสพื้นผิวดวงจันทร์เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) และกลับสู่โลกอย่างปลอดภัยในวันที่ 24 กรกฎาคม ถ้อยคำแรกที่อาร์มสตรองกล่าวหลังจากก้าวออกจากยานลงจอด อีเกิ้ล คือ "นี่เป็นก้าวเล็ก ๆ ของคน ๆ หนึ่ง แต่เป็นก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติ" หลังจากวันนั้นจนถึงการสิ้นสุดโครงการในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2515 มีนักบินอวกาศอีก 10 คนที่ประทับรอยเท้าบนดวงจันทร์ แม้ว่าองค์การนาซาจะทำให้สหรัฐฯ ได้ชัยชนะในการแข่งขันกับโซเวียต แต่ความสนใจของชาวอเมริกันที่มีต่อโครงการอวกาศ อันจะทำให้สภาคองเกรสทุ่มงบประมาณให้กับนาซา กลับลดน้อยถอยลง นาซาสูญเสียผู้สนับสนุนในสภาหลังจากลินดอน บี. จอห์นสัน ลงจากตำแหน่งประธานาธิบดี ผู้ที่มีบทบาทในการวิ่งเต้นเพื่อผลักดันงบประมาณให้กับนาซาในเวลาต่อมา คือ เวร์เนอร์ ฟอน บรอน วิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านจรวดชาวเยอรมัน เขาเสนอแผนสร้างสถานีอวกาศ ฐานปฏิบัติการบนดวงจันทร์ และโครงการส่งมนุษย์ไปดาวอังคารภายในปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถดำเนินการได้เพราะประสิทธิภาพของเทคโนโลยีจรวดขณะนั้นยังไม่ดีพอ อุบัติเหตุการระเบิดของถังออกซิเจน ที่เกือบจะเป็นโศกนาฏกรรมกับนักบินบนยานอะพอลโล 13 ทำให้ประชาชนเริ่มกลับมาสนใจในโครงการอวกาศ อย่างไรก็ตาม ยานอะพอลโล 17 เป็นยานลำสุดท้ายที่ขึ้นบินภายใต้สัญลักษณ์อะพอลโล แม้ว่าโครงการอะพอลโลมีแผนไปถึงยานอะพอลโล 20 โครงการอะพอลโลสิ้นสุดลงก่อนกำหนดเนื่องจากถูกตัดงบประมาณ (ส่วนหนึ่งเป็นผลจากสงครามเวียดนาม) และนาซาปรารถนาที่จะพัฒนายานอวกาศที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้

สกายแลปเป็นสถานีอวกาศแห่งแรกของสหรัฐอเมริกา สถานีนี้มีน้ำหนักกว่า 75 ตัน โคจรรอบโลกเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) ถึงปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) สามารถรองรับคนได้ 3 คนต่อภาระกิจ สกายแลปเป็นสถานีต้นแบบในการเรียนรู้การใช้ชีวิตในอวกาศ และใช้ในการทดลองทางวิทยาศาสตร์บ้าง เดิมทีสกายแลปวางแผนจะใช้ในการเทียบท่าของกระสวยอวกาศด้วย แต่สกายแลปได้ถูกปลดประจำการก่อนถึงการปล่อยกระสวยอวกาศลำแรก และถูกชั้นบรรยากาศโลกเผาไหม้ทำลายในปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) หลังจากปล่อยให้ตกลงในมหาสมุทรอินเดียทางตะวันตกของออสเตรเลีย

อะพอลโล-โซยุส โครงการทดสอบอะพอลโล-โซยุส (Apollo-Soyuz Test Project:ASTP) เป็นการร่วมมือกันระหว่างสหัฐอเมริกาและโครงการอวกาศของโซเวียตในการนำยานอะพอลโลและยานโซยุสมาพบกันในอวกาศ(เชื่อมยานกัน) ในปี พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975)

การบินของโคลัมเบีย กระสวยอวกาศโคลัมเบียได้รับเลือกให้ปฏิบัติภาระกิจมาแล้ว 28 ภาระกิจ ใช้เวลาในอวกาศ 300.74 วัน โคจรรอบโลก 4,808 รอบ และมีระยะการเดินทางรวม 125,204,911 ไมล์ หรือ 201,497,772 กิโลเมตร รวมภาระกิจสุดท้ายด้วย ยานโคลัมเบียเป็นกระสวยอวกาศที่ไม่ได้ถูกใช้งานในโครงการกระสวยอวกาศ-สถานีอวกาศเมียร์ (Shuttle-Mir) และโครงการสถานีอวกาศนานาชาติ เมื่อเทียบกับกระสวยลำเอื่นๆ เช่น ดิสคัฟเวอรี,แอตแลนติส และเอนเดฟเวอร์ ที่ได้ติดต่อกับสถานีทั้งหมด ชาเลนเจอร์ประสบอุบัติเหตุก่อนโครงการกระสวยอวกาศ-สถานีอวกาศเมียร์ รวมุถึงกระสวยอวกาศเอนเทอร์ไพรซ์ที่ไม่เคยถูกใช้งานในอวกาศ สำหรับนาซาแล้วกระสวยไม่ได้ดีไปหมดทุกอย่าง ยิ่งช่วงเริ่มต้นโครงการมันมีความสิ้นเปลืองมาก และในปี พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) กับเหตุการณ์อุบัติเหตุของกระสวยอวกาศชาเลนเจอร์เป็นเรื่องร้ายแรงที่สุดสำหรับการบินอวกาศ

กระสวยอวกาศชาเลนเจอร์ (Shuttle Orbiter Challenger) กระสวยอวกาศชาเลนเจอร์ (Shuttle Orbiter Challenger) รหัสประจำยานคือ OV-099 เป็นกระสวยอวกาศลำที่สองที่ใช้ปฏิบัติภารกิจในอวกาศขององค์การนาซ่า สร้างถัดจากกระสวยอวกาศโคลัมเบีย เริ่มปล่อยสู่อวกาศครั้งแรก(ภารกิจที่ STS-6) ในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2526 (ค.ศ. 1983) และปฏิบัติภารกิจมาแล้วถึง 9 ครั้งก่อนที่จะมาประสบอุบัติเหตุกระสวยอวกาศระเบิด(ในภารกิจที่ STS-51-L) ในวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) หลังจากที่ปล่อยกระสวยสู่ท้องฟ้าได้ 73 วินาที ทำให้ลูกเรือทั้ง 7 คนในยานเสียชีวิตทั้งหมด หลังจากที่อุบัติเหตุครั้งนี้ ทาง NASA จึงได้สร้างกระสวยอวกาศเอนเดฟเวอร์ (Space Shuttle Endeavour) ขึ้นมาปฏิบัติภาระกิจแทนยานชาเลนเจอร์ ในปี พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) ยานชาเลนเจอร์ได้รับเลือกให้ปฏิบัติภารกิจทั้งหมด 10 ครั้ง มีลูกเรือเดินทางกับยานแล้ว 60 คน รวมเวลาอยู่ในอวกาศเป็นเวลา 62.41 วัน มีระยะการเดินทางรวม 25,803,939 ไมล์ หรือ 41,527,416 กิโลเมตร การสูญเสีย

กระสวยอวกาศชาเลนเจอร์ ในภารกิจครั้งที่ 10 (เที่ยวบินที่ STS-51-L) ของยานชาเลนเจอร์ ซึ่งเป็นวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2529 หลังจากปล่อยยานขึ้นไปเพียงนาทีเศษ ยานชาเลนเจอร์ได้ประสบอุบัติเหตุจากการระเบิด เนื่องจากยางรูปวงแหวนที่ใช้ปิดกั้นแก๊สระหว่างรอยต่อในจรวดบูสเตอร์(Solid Rocket Booster : SRB)ตัวขวาได้มีการเสียหายมาจากการยิงจรวดมาในภารกิจก่อนหน้านั้นหลายครั้งมาแล้ว และยังมีอีกปัจจัยนึงคือในวันที่ปล่อยกระสวยครั้งนี้ สภาพอากาศที่เย็นจัดได้ก่อให้เกิดน้ำแข็งเกาะตามฐานปล่อยจรวดและยาน รวมทั้งจรวดบูสเตอร์ด้วย ทำให้ยางไม่ยืดหยุ่น เมื่อได้ปล่อยยาน แก็สความร้อนสูงได้รั่วออกมาและรวมตัวกับเปลวไฟที่ไอพ่นของบูสเตอร์ จึงทำให้เกิดไฟลุกไหม้จรวด และเมื่อถังเชื้อเพลิงสีส้ม(Fule Tank : ET)ได้ถูกความร้อนจากจรวดตัวขวา ทำให้เกิดการระเบิดขึ้นเป็นลูกไฟขนาดยักษ์บนฟ้า ยานได้แตกเป็นส่วนๆ จนตกสู่ทะเล ซึ่งในขณะที่ยานระเบิดนั้น ลูกเรือในยานยังไม่เสียชีวิตจนกระทั่งห้องโดยสารตกสู่ทะเล


วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ประวัติหอไอเฟล


ประวัติหอไอเฟล และจุดถ่ายรูปกับหอไอเฟล

หากมาเยี่ยมเยือนประเทศฝรั่งเศส แต่ไม่มีรูปถ่ายแอ็คท่ากับหอไอเฟล หรือ กลับไปอวดเพื่อนฝูงญาติพี่น้องล่ะก็เหมือนว่ายังมาไม่ถึงฝรั่งเศสนั่นเอง
“ลา ตูค์ อิฟเฟล” (La Tour Eiffel) ในภาษาฝรั่งเศส หรือ หอไอเฟล ถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศส ใครที่มาเที่ยวปารีสเป็นต้องไม่พลาดการถ่ายรูปคู่กับหอไอเฟล
เรามาทำความรู้จักกับหอไอเฟลกันนิดนึง หอไอเฟลเป็นหอคอยสร้างด้วยโครงเหล็ก สูงถึง 300 เมตร ตั้งอยู่บนถนน ชองป์ เดอ มารส์ บริเวณแม่น้ำแซน ในกรุงปารีส หอคอยแห่งนี้เป็นเสมือนสัญญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศส ตั้งชื่อตามสถาปนิกผู้ออกแบบ คือ“กุสตาฟ ไอเฟล” เป็นวิศวกรและสถาปนิกชาวฝรั่งเศส เป็นปรมาจารย์ในด้านการก่อสร้างด้วยเหล็กและมีความสามารถในการสร้างสะพาน เป็นต้นว่า สะพานข้ามแม่น้ำดูโร (Douro) ในตอนเหนือของประเทศโปรตุเกส ซึ่งจัดได้ว่าเป็นสะพานที่มีช่วงกว้างที่สุดในเวลานั้น ถูกออกแบบมาเพื่อใช้เป็นงานศิลปะชิ้นเอกในงานมหกรรมแสดงสินค้านานาชาติที่ประเทศฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพในปี ค.ศ.1890 เพื่อเฉลิมฉลองวันครบรอบ 100 ปี แห่งการปฏิวัติประเทศฝรั่งเศส ทั้งนี้เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ ความร่ำรวย และความสำเร็จในยุคอุตสาหกรรมของประเทศ
60867_433944250005122_1024000583_n
ภาพวิวัฒนาการการก่อสร้างหอไอเฟล
ในสมัยนั้น หอไอเฟลถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก เนื่องจากมีการออกแบบการก่อสร้างที่มีความผิดแผกแตกต่างจากการสิ่งก่อสร้างในอดีต ไม่เข้ากับอาคารบ้านเรือนและโบสถ์เก่าแก่ในเมือง ดูแล้วไร้ซึ่งความเป็นศิลปะ และทำลายทัศนียภาพของกรุงปารีส ถึงกับถูกศิลปินแขนงต่างๆ ประณามว่า “หอไอเฟลคือความอัปลักษณ์บนใบหน้าของปารีส” เลยทีเดียว แต่ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงและยาวนาน ชาวบ้านก็ชื่นชอบหอไอเฟลมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดออกมาโห่ร้องให้กำลังใจ ตอนที่กุฟตาฟ ไอเฟล เดินขึ้นบันได 1,710 ขั้น เพื่อนำธงชาติฝรั่งเศสไปประดับไว้บนยอดสูงสุดของหอคอย (และแน่นอนว่าเขาเป็นคนแรกที่เดินขึ้นไป!) จากตอนแรกที่รัฐบาลตั้งใจว่าจะจัดแสดงศิลปะเอกชินนี้เป็นการชั่วคราวเท่านั้น แบบว่าจบงานแล้วก็รื้อทิ้ง กลายเป็นว่าสุดท้ายทางการสื่อสารมวลชนของประเทศก็ตัดสินใจให้เก็บหอไอเฟลไว้ใช้เป็นสถานีรับส่งสัญญาณวิทยุ ต่อมามีการสร้างศูนย์วิทยุขึ้นอย่างถาวร และยังคงใช้มาถึงปัจจุบันนี้ ในที่สุดงานศิลปะชั่วคราวก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกเป็นเวลากว่า 40 ปี (ค.ศ. 1889-1930) และเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก!
แปลก และ แหวกแนว สโลแกนของเขาล่ะ ขอแทรกความคิดสักนิดว่ากว่าจะเป็นหอไอเฟลอันโด่งดังในวันนี้ได้ นายกุสตาฟต้องฝ่าฟันคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ มากมาย จึงขอให้กำลังใจคนที่กำลังคิดการณ์ไกลสักหน่อย
“คนที่เริ่มสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ จึงไม่ควรท้อใจถ้าหากถูกทักว่าไม่เข้าท่า…หรือเป็นไปไม่ได้…”  – ว.วชิรเมธี
ภาพกลางวัน สวยแบบคมชัด ท้องฟ้าสีสดใส
Eiffel_tower_from_trocadero (640x411)
มาดูแบบเปิดไฟตอนกลางคืนกันบ้าง สวยโรแมนติกไปอีกแบบเลย วะวะว้าวววว ^^
202_1la_tour_eiffel___paris__france (640x430)
FUN FACTS
หอไอเฟลสร้างเสร็จ และมีพิธีเปิดวันที่ 31 มีนาคม 2432 และกลายเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกแทนอนุสาวรีย์วอชิงตัน จนกระทั่งเสียตำแหน่งให้แก่ตึกไครส์เลอร์ (319 เมตร หรือ 1,047 ฟุต) ไปในปี พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930)
หอไอเฟลเป็นสิ่งปลูกสร้างสูงที่สุดในกรุงปารีส ถ้าเปรียบเทียบกับตึกแล้วจะมีประมาณ 75 ชั้น
หอไอเฟลแกว่งตัวได้ตามแรงลม แกว่งได้ถึง 6-7 เซ็นติเมตร!
Paris-sunset-romantic-eiffel-tower-trocadero

วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

นกที่ตัวเล็กที่สุดในโลก (นกฮัมมิงเบิร์ด – hummingbird)


นกที่ตัวเล็กที่สุดในโลก

(นกฮัมมิงเบิร์ด  hummingbird) 

นักชีววิทยาชาวฝรั่งเศสผู้เคยมีชีวิตอยู่ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 18 ได้เคยเอ่ยถึงนกฮัมมิงเบิร์ด (hummingbird) ว่าเป็นนกที่ธรรมชาติได้ประทานพรสวรรค์ให้มากเป็นพิเศษ เพราะมันมีลีลาการบินที่ตื่นตาตื่นใจที่สุดในโลกนกชนิดนี้มีลำตัวเล็ก น่ารัก คือมีความยาวไม่เกิน 6 เซนติเมตร มันมีปากที่ยาวเรียวและแหลม ปีกเล็กๆ ของมันสามารถกระพือได้เร็วถึง 80 ครั้ง/วินาที ทำให้มันสามารถลอยนิ่งอยู่ในอากาศและบินถอยกลังก็ยังได้เราพบเห็นนกชนิดนี้ได้ทั่วโลกโดยเฉพาะในประเทศที่ตั้งอยู่ระหว่างเส้นละติจูดที่ 5o เหนือและใต้ ถิ่นอาศัยของมันคือป่าที่มีภูเขา คนฝรั่งเศสเรียกมันว่า oiseaumouche แปลว่า นกที่ใหญ่กว่าแมลงวัน มันคือ beija flor ของคนสเปน ซึ่งหมายถึงนกที่จุมพิตดอกไม้ และคนคิวบาเรียนเรียกมันตรงไปตรงมาว่า zum zum ตามเสียงที่เขาได้ยินเวลามันบินนกฮัมมิงเบิร์ดตัวเมีย ตามปกติมีขนาดใหญ่กว่าตัวเล็กกว่าตัวผู้เล็กน้อย มันเป็นนกที่รักสันโดษ รู้จักรักและหวงแหนถิ่นอาศัยของมันมาก เมื่อใดก็ตามที่มันพบว่านกอื่นบุกรุกที่ที่มันเป็นเจ้าของ มันจะต่อสู้อย่างสุดฤทธิ์ นิสัยไม่ยอมและชอบต่อสู้นี้เอง ได้ทำให้ชาวอินเดียนเผ่า Astec ตั้งชื่อเทพเจ้าแห่งสงครามตามชื่อของฮัมมิ่งเบิร์ดในช่วงเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ฮัมมิงเบิร์ดจะเริ่มผสมพันธุ์ โดยจะใช้เวลานานไม่เกิน 2-3 วินาที มันทำรังโดยใช้ เช่น เปลือกไม้ และตะไคร่ ไข่ของมันมีขนาดเล็กกว่าเม็ดกาแฟ และจะต้องการฟักนาน 12-16 วันนกฮัมมิงเบิร์ดมักไม่ชอบการอพยพ แต่จะมีบางชนิดที่บินอพยพไกลเป็นพันกิโลเมตร จากบริเวณที่มีอากาศหนาวไปวางไข่ในบริเวณที่มีอากาศอบอุ่น ถึงแม้ว่าตัวของมันจะเล็ก แต่มันก็สามารถบินได้ไกลกว่าและนานกว่าสัตว์อื่นที่มีขนาดตัวใหญ่กว่ามันมาก เมื่อใกล้กำหนดที่มันจะอพยพ มันจะกินอาหารล่วงหน้าให้น้ำหนักตัวเพิ่มถึง 50 เปอร์เซ็นต์ นกฮัมมิงเบิร์ด เป็นนกที่มีขนาดตัวเท่านิ้วหัวแม่มือ มีน้ำหนัก 5-6 กรัม และปีกที่ใช้โบกได้ 80 ครั้งต่อวินาที และกระดูกท่อนบนหมุนได้ 180องศา ซึ่งประกอบด้วยกระดูกที่มีรูปร่างคล้ายมือ มีข้อต่อเชื่อมกัน จนทำให้เกิดเสียงหึ่งเบาๆ ขนหางคล้ายใบพายสามารถบังคับทิศทางได้ทั้งซ้ายขวา และขึ้นลง ในขณะที่นกจ้องมองดอกไม้ มันจะใช้ปากเรียวยาวแล้วแลบลิ้นที่บางเหมือนเส้นด้ายออกจากจะงอยปากเล็กๆ เพื่อลิ้มรสน้ำต้อยในปริมาณมากกว่าน้ำหนักตัวกว่าหนึ่งเท่าครึ่ง โดยลิ้นสองแฉกดูคล้ายรางน้ำทำให้ดูดน้ำได้ถึง13 ครั้งต่อวินาที มีขนาดหัวใจเท่าผลองุ่น เต้นด้วยอัตราเฉลี่ย 500 ครั้งต่อนาทีขณะเกาะนิ่งบนกิ่งไม้ หรือ 1,200 ครั้งต่อนาทีขณะบินไล่กัน และ 30 ครั้งต่อนาทีในฤดูหนาวหรือขาดแคลนอาหาร
การใช้ชีวิตของนกเวลาเกือบร้อยละ 80 ของชีวิตเกาะอยู่บนขอนไม้ เป็นนกที่แข็งแกร่ง แต่เมื่อตายลง กระดูกที่เปราะจึงไม่เหลือเป็นฟอสซิล พฤติกรรมของนกที่มีความก้าวร้าวเพื่อรักษาอาณาเขตที่มีความต้องการจิบน้ำต้อยทุก 2-3 นาที โดยจะสู้กันเองเพื่อแย่งน้ำหวาน
นกเพศผู้ มีสีสดใสที่ช่วยดึงดูดนกเพศเมียเกิดจากเกล็ดขนาดจิ๋วที่มีอากาศภายในขน เพศเมียความเข้มของสีลดลง เพื่อพรางตัวจากสัตว์นักล่าเนื่องจากเลี้ยงลูกตามลำพัง นกฮัมมิงเบิร์ดเป็นสิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่เปี่ยมด้วยความกล้าหาญและพละกำลัง
การกระพือปีก นกจะขับเคลื่อนกล้ามเนื้อปีกจะมีลักษณะคล้ายแมลงมากกว่านก จึงมีพลังมหาศาลกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นเมื่อเปรียบเทียบมวลน้ำหนัก และทางเดินประสาทที่เดินทางได้เร็วทำให้เป็นนกที่คล่องแคล่วที่สุด นกแอ่น(นกนางแอ่น) เป็นญาติสนิทที่สุดของฮัมมิงเบิร์ด
การต่อสู้ของนกจะพบได้มากที่สุด บริเวณที่มีระบบนิเวศฯอุดมสมบูรณ์ เทือกเขาในทวีปอเมริกาในแนวเหนือ-ใต้ จะเป็นเส้นทางอพยพยอของนกเพราะอุดมด้วยดอกไม้ ส่วนแนวตะวันออก-ตะวันตกในทวีปแอฟริกา จะเป็นอุปสรรคทางธรรมชาติ และจะมีฮัมมิงเบิร์ดไม่กี่ชนิดปรับตัวเพื่อเดินทางได้ เช่น
  • ฮัมมิงเบิร์ดคอทับทิมจะรวมตัวกันในเม็กซิโกเพื่อกินแมลงและดูดน้ำต้อย ซึ่งสะสมไขมันและทำน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวภายในหนึ่งสัปดาห์ เพื่อบินข้ามอ่าวเม็กซิโกโดยไม่หยุดพักเป็นเวลา 20 ช.ม. รวมระยะทาง 800 ก.ม.
  • ฮัมมิงเบิร์ดหัวสีน้ำเงิน จะนอนในถ้ำและหลับลึกในสภาวะกระตุ้นยาก เพื่อลดอัตราการเผาผลาญพลังงานไม่ให้หิวในตอนกลางคืน เป็นการปรับตัวเข้าสู่สภาวะจำศีลให้อุณหภูมิลดต่ำลงมากกว่า 40องศาฟาเรนไฮน์
อาหารหลักของนกฮัมมิงเบิร์ด คือน้ำต้อย คิดเป็นร้อยละ 90 ของอาหารทั้งหมด และนกจะตอบแทนโดยการนำเรณูให้ดอกไม้อื่นๆ ที่อยู่ห่างออกไป ซึ่งเป็นนักผสมเกสรดอกไม้ที่มีประสิทธิภาพอีกด้วย ซึ่มความสามารถในการมองเห็นรังสีอัลตราไวโอเล็ตเช่นเดียวกับแมลงหลายชนิด จึงเป็นการช่วยเสาะหาพรรณไม้ได้
ถิ่นที่พบนก พบในอเมริกาเหนือและใต้ รวมทั้งหมู่เกาะรอบๆ ที่เรียกว่าโลกใหม่ สามารถอาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่หลากหลายได้ ฮัมมิงเบิร์ดมีถิ่นอาศัยเฉพาะในทวีปอเมริกา มีจำนวนมาก และหลายชนิดพันธุ์ในบริเวณใกล้เส้นศูนย์สูตร และร้อยละ 95 ในโลกมีกำเนิดอยู่ทางใต้ของชายแดนสหรัฐฯ และเม็กซิโก โดยมีเพียง 16 ชนิดพันธุ์จาก 330 ชนิดพันธุ์ที่อาศัยอยู่เหนือเม็กซิโกขึ้นไป
ฮัมมิงเบิร์ดที่มีขนาดเล็กที่สุดมีน้ำหนักน้อยกว่า 2 กรัม อยู่ที่คิวบา และนกที่ใหญ่ที่สุด หนัก 23 กรัม พบที่เทือกเขาแอนดีสของเปรู