วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2556

10 อับดับสถานที่ที่น่ากลัวที่สุดในโลก


10 อับดับสถานที่ที่น่ากลัวที่สุดในโลก

1. หมู่บ้านพลัคลีย์ อังกฤษ 

หมู่บ้านพลัคลีย์

          หมู่บ้านนี้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหมู่บ้านที่เฮี้ยนที่สุดในอังกฤษ โดยมีการยอมรับอย่างเป็นทางการจากกินเนสส์บุ๊ก เมื่อปี ค.ศ. 1989 หลังจากที่มีรายงานการพบวิญญาณ 12-16 ดวง ในหมู่บ้านนี้ โดยหนึ่งในวิญญาณที่มีผู้พบเห็นมากที่สุด คือ วิญญาณผู้ชายที่เฝ้ากรีดร้องวนเวียนอยู่ในหมู่บ้าน ชาวบ้านเชื่อว่าในสมัยก่อนเขาทำงานก่อสร้างบ้านแต่พลัดตกลงมาเสียชีวิต และอีกดวงคือวิญญาณผู้ชายที่ถูกฆ่าตายด้วยการปักดาบผ่านร่างตรึงไว้กับต้นไม้ ซึ่งแม้ว่าต้นไม้จะถูกตัดไปนานแล้ว แต่ปัจจุบันผู้ที่ผ่านไปพื้นที่ดังกล่าวก็จะได้พบเห็นฉากการต่อสู้และฆ่ากันตายฉายซ้ำบนพื้นที่เดิมครั้งแล้วครั้งเล่า นอกจากนี้ยังมีการพบเห็นผีครูใหญ่ที่เคยผูกคอตาย เดินวนเวียนอยู่ในหมู่บ้านอยู่หลายครั้ง

 2. เกาะตุ๊กตา เม็กซิโก 

เกาะตุ๊กตา

          เกาะแห่งนี้มีเรื่องเล่าว่า เคยเป็นที่เสียชีวิตของเด็กหญิงรายหนึ่ง เธอจมน้ำตายขณะวิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ ต่อมาในปี ค.ศ. 1950 ชายคนหนึ่งนามว่า ดอน จูเลียน ซันทานา บาร์เรรา ได้ใช้เกาะเล็ก ๆ แห่งนี้เป็นบ้าน แต่หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเด็กหญิงอยู่ทุกคืน ทั้งเรียกเขาจากในน้ำ ทั้งร้องเพลง เขากลัวมากจึงเริ่มนำตุ๊กตามาไว้บนเกาะ โดยแขวนมันไว้ตามต้นไม้ทุกต้น และทุกซอกทุกมุมของเกาะเพราะเชื่อว่ามันคงจะทำให้วิญญาณของหนูน้อยไม่เหงาและสงบลง 

             กระทั่งในปี ค.ศ. 2001 ดอน จูเลียน ก็เสียชีวิตลง โดยมีผู้พบศพเข้าคว่ำหน้าจมน้ำอยู่ในจุดเดียวกับที่เด็กหญิงจมน้ำ หลังจากนั้นมา ก็มีคนในพื้นที่เปิดเผยว่าพบตุ๊กตาบนเกาะแห่งนี้หันศีรษะได้ ลืมตาเองได้ และใครที่ริอ่านจะไปลองของต้องระวังอย่าได้คิดนำตุ๊กตาบนเกาะติดไม้ติดมือกลับบ้านเลยเชียว

   3. เกาะฮาชิมะ 

เกาะฮาชิมะ

          เกาะฮาชิมะ จังหวัดนางาซากิของญี่ปุ่น จริง ๆ เกาะแห่งนี้ไม่มีเรื่องเล่าอะไรมากไปกว่าเหมืองถ่านหินเก่าและสถานที่คุมขังนักโทษสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งถูกปล่อยทิ้งร้างไว้นับ 40 ปีแล้ว แต่แม้จะไม่มีประวัติความเป็นมายาวนานว่าเคยมีคนตายอยู่บนเกาะนี้นับพันนับหมื่นชีวิต แต่หากดูจากสภาพความรกร้างบนเกาะ ตึกเก่าที่สุดแสนจะทรุดโทรมแล้ว เชื่อว่าหลายคนคงไม่อยากจะไปนอนค้างอ้างแรมที่นั่นแน่ ๆ ส่วนเรื่องความเฮี้ยนดูเหมือนจะพอมีมาให้ได้ยินอยู่บ้าง เมื่อกองถ่ายภาพยนตร์ Battle Royale ได้เจอกับบุคคลปริศนาที่ไม่ใช่ทีมงานโผล่เข้ามาติดในฉาก และที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือนักแสดงหญิงชาวญี่ปุ่นได้ถูกผีสิงจนต้องหยุดพักกองไปหลายวันเลยทีเดียว
4. หอคอยลอนดอน แห่งอังกฤษ 

หอคอยลอนดอน แห่งอังกฤษ

           หอคอยลอนดอน แห่งอังกฤษ เป็นสถานที่ที่ประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 900 ปี ซึ่งตลอดช่วงเกือบพันปีนี้ ที่ตั้งของหอคอยลอนดอนได้ถูกใช้เป็นทั้งป้อมปราการ พระราชวัง เรือนจำ และลานประหาร ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะมีคนจำนวนมากเสียชีวิตอยู่ในที่แห่งนี้ และปัจจุบันดวงวิญญาณบางดวงก็ยังคงวนเวียนอยู่ที่เดิมไม่จากไปไหน ทำให้มีเรื่องเล่าสุดหลอนออกมาให้ได้ยินเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการพบเห็นแอนน์ โบลีน พระสนมในพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ที่ถูกประหารชีวิตด้วยการตัดหัว ปัจจุบันเธอยังคงวนเวียนอยู่ที่นี่ และปรากฏตัวให้ใครหลายคนเห็นในสภาพเดินถือหัวไปมา

 5. ภูเขาแห่งกางเขน ในลิทัวเนีย 

ภูเขาแห่งกางเขน

          ภูเขาแห่งกางเขน ในลิทัวเนีย สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ลึกลับมากในเรื่องความเป็นมา ไม่มีใครรู้ว่าคนสมัยก่อนปักไม้กางเขนไว้ทำไมมากมายเช่นนี้ แต่คาดว่าน่าจะเริ่มทำกันมาตั้งแต่ ค.ศ. 1830 เรื่อยมาจนปัจจุบันมีไม้กางเขนมากมายจนไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน คาดว่าน่าจะมีจำนวนราว 100,000 เป็นอย่างต่ำ และในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา สถานที่แห่งนี้ก็ถูกใช้เป็นสถานที่แห่งการอธิษฐานและมีการปักไม้กางเขนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น บรรยากาศกลับดูวังเวงน่ากลัวพิลึก ยิ่งเมื่อไม่รู้ที่มาที่ไปแล้ว ใครจะกล้าอยู่ในบริเวณนี้คนเดียวตอนพลบค่ำล่ะเนอะ

6. ป่าอาโอกิกาฮาระ 

ป่าอาโอกิกาฮาระ

          ป่าอาโอกิกาฮาระ เป็นผืนป่าพื้นที่ราว 35 ตารางกิโลเมตรที่ทอดตัวอยู่บริเวณเชิงภูเขาไฟฟูจิ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งหากมองเผิน ๆ แล้วก็เป็นผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ผืนหนึ่ง แต่ใครเลยจะเชื่อว่าป่าแห่งนี้มีผู้มาฆ่าตัวตายเฉลี่ยปีละ 100 คน 
           ปรากฏการณ์ฆ่าตัวตายนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อนักเขียนเซโช มัตสึโมโต ได้เขียนนิยายเรื่อง คุโรอิ ไคจู ขึ้นมา และใช้ป่าแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ตัวละคร 2 ตัวมาฆ่าตัวตาย หลังจากนั้นมาก็มีคนแห่มาฆ่าตัวตายในป่าแห่งนี้อยู่บ่อย ๆ จนต้องมีการติดป้ายเตือนใจประเภท "ชีวิตมีค่า โปรดคิดอีกครั้ง" หรือ "คิดถึงครอบครัวก่อนจะทำอะไรลงไป" เลยทีเดียว

7. สุสานใต้ดินในกรุงปารีส 



สุสานใต้ดินในกรุงปารีส

          สุสานใต้ดินในกรุงปารีส เป็นอุโมงค์ใต้ดินที่กลายเป็นที่ฝังศพของผู้คนมากกว่า 6 ล้านศพ หลังจากมหานครปารีสเติบโตอย่างรวดเร็วเมื่อนับร้อยปีก่อน และทางการอยากจะให้มีพื้นที่สำหรับอยู่อาศัยมากขึ้น และเมื่อย้ายสุสานลงมาใต้ดินไว้เก็บศพผู้คนเรื่อยมา ในที่สุดสุสานใต้ดินก็มีสภาพอย่างที่เห็น คือมีโครงกระดูกเรียงรายอยู่เต็มไปหมด ซึ่งแน่นอนว่า ที่ไหนเต็มไปด้วยคนตาย ที่นั่นก็จะมีเรื่องหลอนออกมาให้ได้ยินอยู่เรื่อย ๆ  

           อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะเป็นสุสานใต้ดิน แต่ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 สุสานแห่งนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดให้ผู้คนไปชมอย่างมากมาย จนถึงวันนี้ถ้าใครอยากสัมผัสประสบการณ์สุดหลอนก็ลองไปเยือนกันดู

8. ปราสาทเอดินบะระ 

ปราสาทเอดินบะระ

          ปราสาทเอดินบะระ ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ที่หลอนที่สุดในสกอตแลนด์ ใครโชคดีอาจจะได้เจอแจ็กพอต ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณคนเป่าปี่ นักตีกลองไร้หัว ผีนักโทษฝรั่งเศส และผีนักโทษนายพลสมัยสงครามปฏิวัติอเมริกา หรือแม้แต่วิญญาณสุนัขที่วนเวียนอยู่บริเวณหลุมฝังซากของมันเอง นี่ยังไม่รวมเงาดำมืดที่ระบุไม่ได้ว่าคืออะไรด้วย ขณะที่นักท่องเที่ยวอีกหลายคนก็รู้สึกว่ามีใครสักคนมาดึงเสื้อแต่มองไม่เห็นตัวตนของเขา ว่าแต่คุณ ๆ อยากเจอแจ็กพอตแบบนี้กันบ้างไหมล่ะ

9. เมืองร้างพริเพียต ในยูเครน 

เมืองร้างพริเพียต

          เมืองร้างพริเพียต ในยูเครน ได้รับการประกาศเป็นเมืองในปี ค.ศ. 1979 และมีประชาชนราว 49,360 คน แต่แล้วในวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1986 โรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลซึ่งอยู่ภายในเมืองได้เกิดระเบิดขึ้นหลังการทดลองผิดพลาด ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบราย และได้รับกัมมันตรังสีกว่า 200 คน อพยพอีกนับแสนในตอนนั้น ก่อนที่เมืองพริเพียตจะกลายเป็นเมืองร้างมาจนถึงทุกวันนี้

           อย่างไรก็ดี ปัจจุบันกลุ่มบริษัททัวร์หัวใสได้จัดทัวร์พานักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชมเมืองพริเพียตอันโด่งดังแห่งนี้ โดยบรรยากาศในเมืองเต็มไปด้วยความเศร้าและหลอน ขณะที่เรื่องหลอน ๆ ของผู้คนที่พบเจอกับวิญญาณก็มีออกมาให้ได้ยินกันอยู่เนือง ๆ

เมืองร้างพริเพียต

10. บ้านบอร์ลีย์ 

บ้านบอร์ลีย์
 
         บ้านบอร์ลีย์ เป็นแมนชั่นสไตล์วิคตอเรียในมณฑลเอสเส็กซ์ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นบ้านที่หลอนที่สุดในอังกฤษ สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1862 เพื่อให้เป็นที่พักสำหรับนักบวช แต่นับตั้งแต่สร้างเสร็จก็มีการพบเห็นวิญญาณอยู่เรื่อยมา และมีเรื่องเล่าว่า มีนักบวชรายหนึ่งตกหลุมรักแม่ชีในโบสถ์ที่อยู่ใกล้ ๆ จึงวางแผนที่จะหนีตามกันไป แต่บาทหลวงจับได้ก่อน นักบวชรายนี้จึงผูกคอตายอยู่บริเวณบ้านบอร์ลีย์ ส่วนแม่ชีที่สมรู้ร่วมคิดนั้นถูกฝังทั้งเป็น จากนั้นทั้งคู่จึงเป็นผีหลอกหลอนคนที่ย่างกรายเข้าไปบริเวณนี้อยู่เป็นประจำ














Pigloo - Moi J'aime Skier



                Moi j'aime skier


    อาหารประจำชาติของฝรั่งเศส   ฟัวกราส์ (ตับห่าน)

   Foie gras [ฟัว-กรา]

ฟัวกราส์ (ฝรั่งเศส: Foie gras หรือ fat liver) คือตับห่านหรือเป็ดที่ถูกเลี้ยงให้อ้วนเกิน ฟัวกราส์ได้ชื่อว่าเป็นอาหารฝรั่งเศสที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับทรัฟเฟิล มีลักษณะนุ่มมันและมีรสชาติที่แตกต่างจากตับของเป็ดหรือห่านธรรมดา และเป็นหนึ่งในอาหารฝรั่งเศสที่ทั่วโลกรู้จักมากที่สุดนอกเหนือจาก ไข่ปลาคาเวียร์

ฟัวกราส์เป็นอาหารราคาแพง ราคาเริ่มต้นที่ เจ็ดสิบยูโรต่อกิโล ไปเรื่อย ๆ เคยเห็นสูงสุดที่ร้อยห้าสิบยูโร แต่คงมีสูงกว่านี้ แต่ยังแพงน้อยกว่าไข่ปลาคาเวียร์ รสชาติก็คงตามราคา กินตามงานเลี้ยง และร้านอาหารที่มีในเมนู ลักษณะฟัวกราส์ที่ดี เนื้อตับจะแน่น เนื้อละเอียด นุ่มลิ้นไม่ต้องเคี้ยว ใช้ลิ้นดันให้ละลายในปากได้

การที่จะทำฟัวกราส์สักชิ้นนั้นส่วนใหญ่มักใช้เป็ด Moulard ขุน และเมืองที่ขึ้นชื่อทำตับห่านมากที่สุดคือเมือง Strassburg เนื่องจากเมืองนั้นเป็นผู้ผลิตหลักของผลิตภัณฑ์อาหารชนิดนี้

สำหรับวิธีการผลิตฟัวกราส์นั้น จะใช้เป็ดพันธุ์มูลาร์ดที่เกิดจากการผสมพันธุ์ของมัสโควี่ (ผู้) และพิคิน (เมีย) โดยจะใช้การบีบคอเป็ดเพื่อให้อ้าปากจากนั้นก็นำอาหารที่ทำให้ตับทำงานหนักยัดเข้าไปในหลอดอาหาร ทั้งนี้เพื่อที่จะให้ตับมีขนาดโตผิดปกติ

ฟัวกราส์เป็นอาหารที่มีชื่อเสียงมาก เป็นที่รู้จักกันดีในรสชาติละเอียดอ่อนบวกกับฝีมือการทำอาหารฝรั่งเศสทำให้ รสชาติของมันไม่สามารถบรรยายด้วยคำพูด ทำให้ตับห่านฟัวกราส์ที่ออกมาวางขายแต่ละครั้งมักขายหมดไปอย่างรวดเร็ว แต่กระนั้นฟัวกราส์เป็นอาหารฟุ่มเฟือย ขนาดในฝรั่งเศสจะบริโภคฟัวกราส์ในโอกาสพิเศษเท่านั้นเช่นวัน คริสต์มาสหรือเวลาเย็นของปีใหม่

ในเชิงประวัติศาสตร์ของฟัวกราส์นั้นตามหลักฐานที่เชื่อถือได้ไม่ได้มาจากประเทศฝรั่งเศส 
เมื่อช่วง 2500 ปีก่อนคริสตศักราช เราพบว่ามีการเลี้ยงหรือขุนสัตว์ปีกด้วยการสอดหลอดอาหารเพื่อบังคับให้มันอ้วนจากสุสานของ Saqqara ที่ Mereruka ประเทศอียิปต์ จากนั้นเมื่อ 361 ก่อนคริสตศักราช กษัตริย์เมืองสปาตาได้ไปเยี่ยมประเทศอียิปต์เกิดสนใจก็เลยแพร่ไปยังประเทศอื่นในเวลาต่อมา

กว่าจะได้มาซึ่งคำว่าฟัวกราส์นั้นก็ต้องยาวไปจนถึงปี 1570 โดยคนครัวของพระสันตะปาปา Pius V ได้คิดว่าจะทำให้มันออกมาเป็นมาตรฐานโดยการใช้ห่านในการขุนเพื่อเอาตับ โดยมีการเขียนเป็นหนังสือและบอกอัตราส่วนในการชั่งตวงอาหารอย่างเป็นมาตรฐาน จากนั้นก็ยังมีการปรับปรุงสูตรโดยพ่อครัวอีกหลายๆท่านจนพัฒนาเป็นการได้มาซึ่งตับชั้นเลิศในที่สุด

ประเทศที่นิยมบริโภคตับห่านคงหนีไม่พ้นประเทศฝรั่งเศส ทั้งบริโภคและผลิตมากกว่าทุกประเทศ อย่างที่บอกว่าราคาแพงมากโดยเฉพาะตับที่ถูกกฏหมาย และยังมีเกรดของตับมาแบ่งชั้นอีกด้วย